เตรียมตัวให้พร้อม! ญี่ปุ่นยกเลิก Tax Free เปลี่ยนเป็น Tax Refund ปลายปี 2026
ใครที่กำลังวางแผนไปเที่ยว ไปช้อปปิ้งที่ญี่ปุ่น ต้องรู้ก่อน! เพราะตั้งแต่ปลายปี 2026 ญี่ปุ่นจะยกเลิกระบบ Tax Free ที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคย แล้วเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่คือ Tax Refund แทน
หมายความว่าต่อไปเวลาซื้อของนักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายรวมภาษีไปก่อน แล้วจึงไปขอคืนภาษีภายหลัง ไม่ใช่จ่ายแบบหักภาษีทันทีที่ร้านค้าอีกต่อไป ซึ่งอาจกระทบกับแผนการช้อปปิ้งของหลายๆ คน ทั้งเรื่องงบประมาณ เวลา และความสะดวก
แล้วระบบใหม่นี้จะต่างจากเดิมยังไง? จะยุ่งยากหรือสะดวกขึ้น? และนักท่องเที่ยวอย่างเราควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อไม่ให้พลาดสิทธิประโยชน์มาดูกัน
ระบบเดิม Tax Free คืออะไร?
ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวที่ไปญี่ปุ่นสามารถซื้อสินค้าจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ Tax Free แล้วจ่ายในราคาที่ หักภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 10%) ออกทันที ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม และเพียงแค่แสดงพาสปอร์ตให้กับร้านค้า เท่านี้ก็ประหยัดไปได้หลายพันเยนหากซื้อของชิ้นใหญ่หรือซื้อของหลายรายการ
ระบบใหม่ Tax Refund คืออะไร?
ตั้งแต่ ปลายปี 2026 เป็นต้นไป ญี่ปุ่นจะยกเลิกระบบ Tax Free และเปลี่ยนเป็น Tax Refund แทน นั่นหมายความว่า
- เวลาเราซื้อของ ต้องจ่ายเต็มราคาพร้อม VAT 10% ไปก่อน
- จากนั้นจึงนำเอกสาร/ใบเสร็จไป ยื่นขอคืนภาษีที่สนามบิน หรือจุดบริการที่กำหนดก่อนเดินทางกลับประเทศ
- ภาษีจะคืนในรูปแบบ เงินสดหรือโอนเข้าบัตรเครดิต/บัญชี ขึ้นอยู่กับช่องทางที่รัฐบาลญี่ปุ่นจัดไว้
นักท่องเที่ยวต้องเตรียมตัวยังไง?
การเปลี่ยนจาก Tax Free เป็น Tax Refund แม้จะยังคงสิทธิประโยชน์เรื่องการคืนภาษีเหมือนเดิม แต่ขั้นตอนต่างๆ จะซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย นักท่องเที่ยวจึงควรเตรียมตัวล่วงหน้า ดังนี้
1. เตรียมงบประมาณเพิ่ม
ระบบใหม่กำหนดให้ต้อง จ่ายเต็มราคาพร้อม VAT 10% ตอนซื้อของ ซึ่งหมายความว่าคุณต้องมีเงินสดหรือวงเงินบัตรเครดิตมากกว่าเดิม
ตัวอย่าง :
กล้องราคา 10,000 เยน (รวม VAT 10%)
- เดิม (ระบบ Tax-Free) จ่ายเพียง 9,090.91 เยน เพราะไม่รวมภาษี 10%
- ใหม่ (ระบบ Tax-Refund) ต้องจ่าย 10,000 เยน แล้วจึงไปขอคืนภาษี 909.09 เยนภายหลัง
ดังนั้น ควรเผื่อเงินสดหมุนเวียนให้พอใช้ระหว่างทริป โดยเฉพาะคนที่เน้นช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนม อิเล็กทรอนิกส์ หรือของฝากจำนวนมาก
2. เก็บเอกสารและหลักฐานการซื้อ
ใบเสร็จ, ใบกำกับภาษี และเอกสารที่ร้านออกให้ สำคัญสำหรับการขอ Refund หากเอกสารสูญหาย คุณจะหมดสิทธิ์ขอคืนภาษีทันที แนะนำให้พกแฟ้มเล็กๆ หรือซองเก็บใบเสร็จโดยเฉพาะ เพื่อแยกจากเอกสารการเดินทางอื่นๆ
3. เผื่อเวลาในสนามบิน
- ขั้นตอนการขอ Refund ต้องทำ ก่อนเช็กอินหรือก่อนผ่าน ตม. โดยจะมีเคาน์เตอร์หรือเครื่องให้บริการ ในช่วง High Season (เช่น ซากุระ, โกลเด้นวีค, หิมะปลายปี) นักท่องเที่ยวที่ขอ Refund จะเยอะมาก ทำให้รอคิวนาน
- ควรเผื่อเวลา อย่างน้อย 1–2 ชั่วโมงเพิ่ม จากเวลาปกติ เพื่อไม่ให้พลาดไฟลท์กลับ
4. ตรวจสอบจุด Refund และขั้นตอนล่วงหน้า
- แต่ละสนามบินอาจมี จุดบริการ Refund แตกต่างกัน เช่น ที่นาริตะและฮาเนดะ อาจมีหลายเคาน์เตอร์ในแต่ละเทอร์มินอล ควรเช็กข้อมูลจาก เว็บไซต์สนามบิน หรือถามเจ้าหน้าที่ เพื่อไม่ให้เสียเวลาตามหาหน้างาน
- บางสนามบินอาจรองรับการ Refund อัตโนมัติผ่านเครื่อง Kiosk ซึ่งสะดวกกว่า แต่ควรศึกษาขั้นตอนล่วงหน้า
5. ตรวจสอบช่องทางการคืนภาษี
- ปกติจะมีให้เลือกคืนเป็น เงินสดเยน หรือ คืนเข้าบัตรเครดิต/บัญชีธนาคาร หากเลือกเงินสดอาจได้ไม่ครบจำนวนเนื่องจากมีค่าธรรมเนียมบางส่วน
- หากเลือกโอนเข้าบัตรเครดิต ต้องเผื่อเวลาเพราะบางครั้งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงเดือนกว่าจะได้รับเงินคืน
ทำไมญี่ปุ่นถึงเปลี่ยนระบบ?
การยกเลิก Tax Free แล้วเปลี่ยนมาใช้ Tax Refund ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะส่งผลต่อทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการร้านค้า และการจัดเก็บภาษีของประเทศ โดยเหตุผลหลัก ๆ มีดังนี้
1. ป้องกันการทุจริตและการใช้สิทธิผิดประเภท
ที่ผ่านมามีปัญหาระบบ Tax Free เปิดช่องโหว่ ให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นนักท่องเที่ยวตัวจริงอาศัยสิทธิซื้อสินค้าปลอดภาษี เช่น
- ผู้อยู่อาศัยชาวต่างชาติในญี่ปุ่น หรือผู้ที่นำสินค้ากลับมาใช้เองในประเทศ
- การซื้อของจำนวนมากเพื่อนำไปขายต่อ โดยไม่เสียภาษี
ทำให้สูญเสียรายได้ทางภาษีจำนวนมาก ดังนั้นการปรับระบบให้ทุกคนต้อง จ่ายก่อน-คืนทีหลัง จะช่วยคัดกรองและลดการโกงได้อย่างชัดเจน
2. ควบคุมและจัดการระบบภาษีได้มีประสิทธิภาพ
ระบบ Tax Refund ทำให้รัฐบาลสามารถเก็บข้อมูลการซื้อขายทั้งหมดได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น
- ตรวจสอบได้ว่าใครซื้อสินค้าอะไร ปริมาณเท่าไร
- กำหนดเกณฑ์ชัดเจนว่านักท่องเที่ยวคนใดมีสิทธิได้รับภาษีคืน
- ลดความผิดพลาดจากการให้ร้านค้าคำนวณเอง
3. ยกระดับมาตรฐานสากล
ประเทศท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่ง เช่น เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี และอีกหลายประเทศในยุโรป ใช้ระบบ Tax Refund กันมานานแล้ว การที่ญี่ปุ่นปรับตามจะทำให้
- นักท่องเที่ยวต่างชาติคุ้นเคยและเข้าใจระบบได้ง่ายขึ้น
- เชื่อมโยงข้อมูลการซื้อขายกับมาตรฐานสากลด้านภาษี
- เพิ่มความน่าเชื่อถือด้านการบริหารจัดการของญี่ปุ่น
4. สร้างความเป็นธรรมและความโปร่งใส
ระบบ Tax Free แบบเดิมทำให้บางร้านค้าเข้าร่วม บางร้านค้าไม่เข้าร่วม สร้างความสับสนให้กับนักท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีร้านค้าบวกราคาแล้วทำเป็นลดภาษี ซึ่งไม่โปร่งใสเท่าที่ควร การเปลี่ยนมาใช้ Tax Refund จะช่วยให้ทุกอย่างเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ นักท่องเที่ยวไม่ต้องกังวลว่าร้านไหนได้สิทธิหรือไม่ได้สิทธิ
การเปลี่ยนแปลงจาก Tax Free เป็น Tax Refund ในญี่ปุ่นที่จะเริ่มใช้ปลายปี 2026 ถึงแม้จะทำให้นักท่องเที่ยวต้องวางแผนการเงินและเวลาเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังคงได้รับสิทธิคืนภาษีเหมือนเดิม เพียงแต่ต้องเตรียมตัวรอบคอบกว่าเดิม
ดังนั้น หากคุณวางแผนจะเดินทางไปญี่ปุ่นหลังจากระบบใหม่นี้เริ่มใช้ อย่าลืมศึกษาเงื่อนไขการซื้อสินค้า เก็บหลักฐานทุกใบเสร็จ และเผื่อเวลาในการทำ Refund ที่สนามบิน เพื่อให้ทริปเที่ยว ช้อปปิ้งของคุณไม่สะดุดและได้รับสิทธิประโยชน์เต็มที่
และเพื่อให้การเดินทางต่างประเทศมั่นใจยิ่งขึ้น ควรมีประกันการเดินทางที่ครอบคลุม จากทิพยประกันภัย ที่พร้อมดูแลคุณตั้งแต่ก้าวแรกของการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น
- ความคุ้มครองกรณีกระเป๋าเดินทางสูญหายหรือเสียหาย
- ชดเชยเมื่อเที่ยวบินล่าช้าหรือยกเลิก
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉินในต่างประเทศ
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง
วางแผนทริปญี่ปุ่นให้พร้อมทั้งเรื่อง การเงิน-การเดินทาง-การคุ้มครอง เพื่อให้การท่องเที่ยวของคุณเต็มไปด้วยความสุขและความสบายใจ สอบถามรายละเอียดได้ที่ TIPINSURE.COM หรือโทร. 1736