ตะลุยทั่วญี่ปุ่นด้วยบัตร JR Pass ใบเดียว
ใครที่กำลังวางแผนเดินทางไปญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกหรือครั้งที่สิบ สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบาย คุ้มค่า และไร้กังวลมากที่สุดก็คือ JR Pass หรือบัตรโดยสารรถไฟแบบเหมาจ่ายที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกยกให้เป็นตัวช่วยคู่ใจในการเดินทาง บัตรใบเดียวที่สามารถพาคุณนั่งรถไฟชินคันเซ็นความเร็วสูง รถไฟด่วน รถไฟท้องถิ่น ไปจนถึงรถบัสและเรือข้ามฟากในเครือ JR ได้เกือบทั่วทั้งประเทศ
เพียงแค่มี JR Pass อยู่ในมือ คุณก็สามารถตะลุยญี่ปุ่นได้ตั้งแต่เกาะฮอกไกโดทางเหนือ ไปจนถึงคิวชูทางใต้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าโดยสารที่อาจพุ่งสูง เพราะจ่ายครั้งเดียวก็ขึ้นได้ไม่จำกัดตามระยะเวลาที่เลือก ไม่ว่าจะเป็น 7, 14 หรือ 21 วัน เหมาะทั้งสำหรับผู้ที่ชอบเที่ยวหลายเมือง หรือผู้ที่อยากสัมผัสเสน่ห์ของญี่ปุ่นแบบเจาะลึกในทุกรูปแบบการเดินทาง
แล้วบัตร JR Pass มีกี่แบบ? ราคาเท่าไร? คุ้มจริงมั้ย? TIPINSURE รวบรวมสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับบัตร JR Pass มาให้แล้ว มาเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวญี่ปุ่นให้เต็มอิ่ม คุ้มค่า และสนุกกว่าที่เคยกัน
บัตร JR Pass คืออะไร?
Japan Rail Pass (JR Pass) คือบัตรโดยสารรถไฟสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ออกโดยบริษัทรถไฟญี่ปุ่น (Japan Railways Group) จุดเด่นคือการจ่ายเพียงครั้งเดียว แต่สามารถใช้เดินทางได้ ไม่จำกัดเที่ยว บนเส้นทางของรถไฟ JR เกือบทั่วประเทศ รวมถึง รถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen) รถไฟด่วน (Limited Express) รถไฟท้องถิ่น (Local/ Rapid) รถบัสในเครือ JR และแม้แต่เรือเฟอร์รี JR ที่วิ่งไปเกาะมิยาจิมะ
ทำไมต้องเลือกบัตร JR Pass
1. คุ้มค่า
สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีแผนเดินทางหลายเมือง การซื้อ JR Pass ถือว่าประหยัดได้มาก เพราะราคาบัตรเพียงใบเดียวก็ครอบคลุมค่าโดยสารรถไฟได้แทบทั้งหมด ตัวอย่างเช่น การนั่ง ชินคันเซ็นจากโตเกียวไปโอซาก้า ขาเดียว ราคากว่า 14,000 เยน แต่ถ้าคุณมี JR Pass แบบ 7 วัน จะสามารถใช้เดินทางได้ทั้งไป-กลับ รวมถึงขึ้นรถไฟเส้นทางอื่นๆ ได้ไม่จำกัด เท่ากับว่าคืนทุนตั้งแต่ 1–2 เที่ยวแรก
2. สะดวก
ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อบัตรโดยสารรายเที่ยวหรือกดตู้ขายตั๋วทุกครั้งก่อนขึ้นรถ เพียงแค่ถือ JR Pass ใบเดียว เดินเข้าสถานีและโชว์บัตรที่ประตูตรวจตั๋ว ก็สามารถเดินทางได้ทันที ทำให้การเดินทางลื่นไหล ไม่สะดุด โดยเฉพาะเวลาเปลี่ยนเมืองหรือต้องขึ้นรถไฟต่อเนื่องหลายขบวน
3. ครอบคลุม
บัตร JR Pass ใช้ได้บนเครือข่ายรถไฟ Japan Railways (JR Group) ที่ครอบคลุมเกือบทั่วประเทศ ตั้งแต่ฮอกไกโดตอนเหนือ โตเกียว คันโต คันไซ จนถึงคิวชูตอนใต้ นอกจากรถไฟความเร็วสูง ชินคันเซ็น แล้ว ยังใช้กับรถไฟท้องถิ่น รถไฟด่วน รถบัสในเครือ JR และแม้แต่เรือข้ามฟาก JR Miyajima Ferry ได้อีกด้วย
4. เลือกได้ตามทริป
บัตร JR Pass มีระยะเวลาให้เลือกหลายแบบ ทั้ง 7 วัน, 14 วัน และ 21 วัน นักท่องเที่ยวสามารถเลือกให้เหมาะกับทริปของตัวเอง เช่น ทริปสั้นๆ เน้นเมืองใหญ่ก็เลือก 7 วัน แต่ถ้าเป็นการเดินทางยาว เที่ยวหลายภูมิภาค แนะนำ 14 หรือ 21 วัน เพื่อความคุ้มค่าที่สุด
ประเภทของบัตร JR Pass
JR Pass แบบ Nationwide
- ครอบคลุมทั้งประเทศญี่ปุ่น ใช้ได้บนเครือข่าย JR เกือบทุกเส้นทาง ตั้งแต่ ฮอกไกโด – โตเกียว – เกียวโต – โอซาก้า – ฮิโรชิมะ – คิวชู
- ใช้ขึ้น ชินคันเซ็น (Shinkansen) ได้เกือบทุกสาย (ยกเว้น Nozomi และ Mizuho) รวมถึงรถไฟด่วน รถไฟท้องถิ่น และรถบัส JR
- เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการ เดินทางหลายภูมิภาค ภายในทริปเดียว เช่น จากโตเกียวไปโอซาก้า ต่อด้วยฮิโรชิมะ หรือไปจนถึงซัปโปโรที่ฮอกไกโด
- มีระยะเวลาให้เลือก: 7 วัน, 14 วัน, 21 วัน
ตัวอย่างทริปคุ้มค่า : โตเกียว → นาโกย่า → เกียวโต → โอซาก้า → ฮิโรชิมะ → ฟุกุโอกะ
JR Pass แบบ Regional
จำกัดการใช้งานเฉพาะภูมิภาค แต่ราคาย่อมเยากว่า Nationwide เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่วางแผนเที่ยว เน้นเจาะลึกเฉพาะพื้นที่ ไม่ได้เดินทางทั่วประเทศ ตัวอย่างประเภทที่นิยม
1. JR East Pass (โทโฮคุ–คันโต)
- ใช้ได้ทั้งในโตเกียว, นิกโก้, นาสุ, เซนได, อาโอโมริ
- เหมาะกับคนที่เน้นเที่ยวโซน โตเกียว + ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2. JR West Pass (คันไซ–ฮิโรชิมะ)
- ครอบคลุมโอซาก้า, เกียวโต, นารา, โกเบ, ฮิโรชิมะ
- เหมาะกับสายเที่ยว คันไซ–ชูโกกุ
3. JR Kyushu Pass (เกาะคิวชู)
- ใช้ได้ทั่วเกาะคิวชู ทั้งฟุกุโอกะ, นางาซากิ, คุมาโมโตะ, คาโงชิมะ
- เหมาะกับคนที่อยากสัมผัสเสน่ห์ธรรมชาติ ออนเซ็น และบรรยากาศท้องถิ่น
สรุป : ถ้าเป็นครั้งแรกที่ไปญี่ปุ่น หรือมีแผนเที่ยวหลายเมืองควรเลือก JR Pass แบบ Nationwide แต่ถ้ารู้แล้วว่าจะโฟกัสเฉพาะภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง และอยากคุมงบประมาณ เลือก Regional Pass จะคุ้มกว่า
วิธีซื้อและใช้งานบัตร JR Pass
การซื้อบัตร JR Pass
1. ซื้อออนไลน์ล่วงหน้า
สามารถสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ทางการของ JR หรือจากเอเจนซี่ เมื่อชำระเงินแล้วคุณจะได้รับเอกสารที่เรียกว่า Exchange Order (บัตรแลกตั๋ว) ส่งมาที่บ้านหรือรับแบบ e-voucher เพื่อนำไปแลกบัตรจริงที่ญี่ปุ่น
2. ซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายในไทย
มีเอเจนซี่ท่องเที่ยวและเว็บไซต์ในไทยที่จำหน่าย JR Pass โดยตรง สะดวกเพราะมีบริการเป็นภาษาไทย และบางที่อาจมีโปรโมชั่นเสริม เช่น ส่วนลดหรือของแถม
3. ซื้อที่ญี่ปุ่น (ราคาจะสูงกว่า)
ปัจจุบัน JR เปิดให้ซื้อ JR Pass ได้ที่เคาน์เตอร์ในญี่ปุ่น แต่ราคาจะสูงกว่าซื้อจากต่างประเทศ เหมาะสำหรับคนที่ตัดสินใจไม่ได้ล่วงหน้า แต่ไม่คุ้มค่าเท่าซื้อล่วงหน้า
ขั้นตอนการแลกบัตร JR Pass จริง
- เมื่อเดินทางถึงญี่ปุ่น ให้นำ Exchange Order + พาสปอร์ต (ต้องมีตรา Temporary Visitor) ไปที่ JR Office หรือ Midori no Madoguchi ซึ่งมีอยู่ตามสนามบินใหญ่ๆ (Narita, Haneda, Kansai, Chitose ฯลฯ) และสถานีรถไฟหลักทั่วประเทศ
- เจ้าหน้าที่จะถามวันเริ่มใช้งาน (สามารถเลือกวันเริ่มต้นภายใน 30 วันหลังจากวันแลก)
- จะได้รับ JR Pass ตัวจริงเป็นบัตรแข็ง พร้อมใช้งานได้ทันที
วิธีใช้งาน JR Pass
- เวลาเดินทาง เพียงแค่แสดงบัตร JR Pass ให้เจ้าหน้าที่ที่ประตูตรวจตั๋ว (ไม่สามารถสอดเข้าประตูอัตโนมัติได้)
- ใช้ได้กับทั้งรถไฟท้องถิ่น, รถไฟด่วน, ชินคันเซ็น (ยกเว้น Nozomi และ Mizuho), รถบัส JR และเรือ JR
- หากต้องการ จองที่นั่ง (Reserved Seat) สามารถทำได้ฟรีที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติหรือ JR Office ทุกแห่ง
- หากไม่จองสามารถขึ้นที่นั่งไม่จอง (Non-Reserved Seat) ได้เลย
เคล็ดลับการใช้งาน
- วางแผนเส้นทางให้ดี เลือกวันเริ่มใช้งานให้ตรงกับวันที่เดินทางไกลที่สุด เช่น วันที่นั่งชินคันเซ็น เพื่อให้คุ้มค่าที่สุด
- เก็บ JR Pass ให้ดี เพราะหากทำหาย ไม่สามารถออกบัตรใหม่ได้
- ใช้ควบคู่กับ Google Maps เพื่อตรวจสอบตารางรถไฟ จะช่วยให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น
มีบัตร JR Pass แล้วเดินทางสะดวก แต่ถ้าอยากอุ่นใจ ต้องมีประกันเดินทางจากทิพยประกันภัย
บัตร JR Pass ทำให้คุณตะลุยทั่วญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้น แต่การเดินทางต่างประเทศนอกจากเรื่องความคล่องตัวแล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือความคุ้มครองและความอุ่นใจ เพราะอุบัติเหตุ เหตุฉุกเฉิน หรือการสูญหายทรัพย์สิน อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การมีประกันเดินทางจากทิพยประกันภัยจะช่วยให้คุณมั่นใจตลอดทริป ด้วยความคุ้มครองครอบคลุม
- ค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุในต่างประเทศ
- คุ้มครองกระเป๋าเดินทางและทรัพย์สินสูญหาย
- คุ้มครองกรณีเที่ยวบินล่าช้า ถูกยกเลิก หรือพลาดต่อเครื่อง
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
การถือบัตร JR Pass เพียงอย่างเดียวอาจทำให้คุณเดินทางได้ง่าย แต่ถ้าอยากให้ทริปเต็มไปด้วยความอุ่นใจ ไร้กังวลทุกเส้นทาง อย่าลืมทำประกันเดินทางจากทิพยประกันภัยก่อนออกเดินทาง สอบถามรายละเอียดได้ที่ TIPINSURE.COM หรือโทร. 1736