ขับรถลุยน้ำท่วมสูงแค่ไหน เสี่ยงต้องหยุด
12 มิถุนายน 2025
ผู้ชม: 7 คน

ขับรถลุยน้ำท่วมสูงแค่ไหน เสี่ยงต้องหยุด


ช่วงนี้ฝนตกแทบทุกวัน ไหนบางวันต้องเจอกับน้ำท่วมฉับพลันหลังฝนตกหนัก ปัญหาการระบายน้ำล่าช้า สถานการณ์ที่คนขับรถหลายคนต้องเผชิญ ทำให้ต้องตัดสินใจว่าจะ "ขับลุยไปต่อ" หรือ "หยุดรอให้ระดับน้ำลด" เพราะน้ำเพียงไม่กี่สิบเซนติเมตรก็อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า และความปลอดภัยของผู้ขับขี่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรถยนต์ทั่วไปที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อวิ่งผ่านน้ำ

แล้วระดับน้ำท่วมสูงแค่ไหนที่ยังพอขับผ่านได้อย่างปลอดภัย และเมื่อไรที่ควรตัดสินใจจอดและรอ เพื่อไม่ให้รถพังกลางทาง

 

ระดับน้ำท่วมสูงแค่ไหนที่ “ไม่ควรขับลุย”

ระดับน้ำ 5-10 เซนติเมตร 

ความสูงของน้ำจะพบเห็นได้ตามถนนทั่วไปที่เกิดจากน้ำท่วมขัง ซึ่งอยู่ในระดับที่ปลอดภัยสามารถขับผ่านไปได้ เพราะน้ำระดับนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์ แต่ไม่ควรใช้ความเร็วสูง อาจทำให้สูญเสียการควบคุมได้เนื่องจากถนนที่ลื่น

น้ำสูงเกิน 10-15 เซนติเมตร (ระดับใต้ท้องรถ)

หากระดับน้ำเริ่มถึงใต้ท้องรถหรือชายกันชนหน้ารถเล็กทั่วไป ก็สามารถขับผ่านไปได้ตามปกติ แต่จะส่งผลกับรถเล็กอาจจะได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อมอยู่ใต้ท้องรถในกรณีที่มีรถขับสวนกัน ควรเริ่มระมัดระวังเพราะอาจกระทบกับอุปกรณ์ไฟฟ้าใต้ท้องรถได้ เช่น ระบบเซนเซอร์ ABS, ปลั๊กสายไฟ, ชุดสายพาน และจุดเชื่อมต่อไฟฟ้าอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทนน้ำโดยตรง

หากขับลุยในระดับน้ำนี้เป็นเวลานาน ถนนมีเศษขยะ ดินโคลน หรือสิ่งสกปรกปนอยู่ในน้ำ อาจส่งผลให้เกิดการสึกกร่อน ความชื้นสะสมในระบบไฟฟ้าและกลไกต่างๆ ทำให้เกิดปัญหาในระยะยาว เช่น ระบบไฟฟ้ารวน เบรกทำงานผิดปกติ หรือมีเสียงดังจากใต้ท้องรถโดยไม่ทราบสาเหตุ

น้ำสูงประมาณ 20–30 เซนติเมตร (ระดับใต้กันชน หรือประมาณครึ่งล้อรถเก๋ง)

ระดับน้ำที่ดูเหมือนยังไม่สูงเกินไป แต่สำหรับรถเล็กเริ่มมีความเสี่ยง โดยเฉพาะกับรถยนต์ที่มีท่อกรองอากาศอยู่ต่ำใต้กันชน หากน้ำกระเด็นหรือทะลักเข้าสู่ท่อไอดี จะก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Hydrolock หรือภาวะน้ำเข้าเครื่องยนต์ ส่งผลให้เครื่องยนต์หยุดทำงานฉับพลัน 

แต่ถ้าหากเดินทางในระยะสั้นๆ สามารถขับผ่านได้แต่ถ้าเป็นระยะทางยาว แนะนำว่าไม่ควร แม้ระดับน้ำจะยังไม่ท่วมถึงฝากระโปรง แต่ด้วยกระแสน้ำที่ไหลแรง หรือรถที่ลุยผ่านในความเร็วที่ไม่เหมาะสม ก็สามารถดันน้ำเข้าสู่ระบบเครื่องยนต์ได้โดยง่าย 

ดังนั้น หากคุณพบว่าระดับน้ำอยู่ในช่วง 20–30 เซนติเมตร และคุณไม่มั่นใจในสมรรถนะรถของ หรือไม่รู้ตำแหน่งของท่อไอดีอย่างแน่ชัด ควรหลีกเลี่ยงการลุยน้ำทันที เพื่อป้องกันความเสียหายรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว

น้ำสูง 40–60 เซนติเมตร (ระดับเกินล้อรถ / ใต้ไฟหน้า)

น้ำที่มีความสูงถึงระดับนี้ถือว่าอันตรายขั้นรุนแรงสำหรับรถยนต์ทั่วไป โดยเฉพาะรถเก๋งหรือรถที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการลุยน้ำ เพราะไม่เพียงแต่เสี่ยงต่อการดับกลางทาง แต่ยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบในรถ ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก ระบบส่งกำลัง ห้องโดยสาร ไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำคัญอย่างกล่อง ECU ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้าโดยรวม

ในกรณีที่ฝืนลุยน้ำอาจเกิดปัญหาหลังน้ำแห้ง เช่น กลิ่นอับในห้องโดยสาร จากความชื้นที่สะสมอยู่ภายใน ระบบไฟฟ้าผิดปกติ เช่น ไฟหน้า ไฟท้ายไม่ทำงาน เครื่องเสียงรวน หรือไฟเตือนผิดเพี้ยน และที่อันตรายที่สุดคือ ระบบเบรกที่อาจเสื่อมประสิทธิภาพ

ดังนั้น หากคุณพบว่าน้ำมีความสูงถึงระดับ 40 เซนติเมตรขึ้นไป ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าไม่ควรขับลุยอย่างเด็ดขาด ยกเว้นในกรณีที่คุณใช้รถ SUV หรือรถที่มีระยะความสูงจากพื้นถึงท้องรถมากกว่าปกติ และต้องมั่นใจว่าท่อไอดีอยู่ในตำแหน่งที่สูงพอ ไม่เสี่ยงให้น้ำเข้าสู่เครื่องยนต์

ระดับน้ำสูงกว่า 80 เซนติเมตร (ระดับเกือบถึงฝากระโปรงหน้า / มากกว่าล้อรถทุกประเภท)

เมื่อน้ำท่วมสูงเกิน 80 เซนติเมตร ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้รถยนต์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋ง รถกระบะ หรือแม้แต่ SUV เพราะระดับน้ำขนาดนี้สามารถทำให้ รถลอย หรือสูญเสียการควบคุมได้ทันที
สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่ความเสียหายต่อเครื่องยนต์หรือระบบไฟฟ้า แต่คือความปลอดภัยของคุณ เพราะหากน้ำไหลแรง รถมีโอกาสถูกพัดพาออกนอกเส้นทางหรือพลิกคว่ำได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น น้ำจะทะลักเข้าสู่ห้องโดยสารจนถึงระดับเบาะที่นั่ง หรือสูงกว่านั้น ทำให้ผู้ขับอาจติดอยู่ภายในรถ

 

วิธีขับรถลุยน้ำท่วม รู้ไว้…รถไม่พัง!

1. ใช้เกียร์ต่ำ เดินคันเร่งสม่ำเสมอ

เมื่อต้องขับลุยน้ำท่วม ควรใช้เกียร์ต่ำเสมอ โดยเข้าเกียร์ 1 สำหรับเกียร์ธรรมดา หรือเกียร์ L สำหรับเกียร์อัตโนมัติ เพื่อให้รถมีกำลังฉุดที่เหมาะสม และควบคุมความเร็วได้ดีในสภาพถนนที่ต้านทานมากกว่าปกติ

2. ขับช้า อย่าเบรกแรง

ขับด้วยความเร็วต่ำสม่ำเสมอ อย่าเหยียบคันเร่งแรงหรือกระชาก เพราะจะทำให้น้ำกระเด็นเข้าท่อไอดีได้ง่าย เสี่ยงเกิด Hydrolock ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายรุนแรงทันที และที่สำคัญคือ ห้ามหยุดรถกลางน้ำเด็ดขาด เพราะอาจทำให้แรงดันน้ำสะสมจนเครื่องดับ หรือไม่สามารถออกตัวได้อีก
หลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหันหรือเบรกแรง เพราะอาจทำให้น้ำไหลย้อนเข้าสู่ระบบเบรก เสี่ยงต่อการเบรกไม่อยู่ หรือเกิดการเสียหลักทันที และหากรถมีระบบเบรกไฟฟ้า (เช่น ABS หรือ EBD) อาจเกิดความผิดปกติจากความชื้นหรือการรั่วซึมได้
3. ปิดแอร์ ลดกระจกลง
ปิดระบบปรับอากาศ เพื่อหยุดการทำงานของพัดลมแอร์ที่อยู่ใต้ท้องรถ ซึ่งหากยังทำงานอยู่ในขณะที่น้ำท่วมถึงพัดลม อาจเกิดแรงปะทะกับน้ำจนใบพัดเสียหาย หรือทำให้น้ำกระเด็นเข้าห้องเครื่องและอุปกรณ์ไฟฟ้าภายใน
และควรลดกระจกลงเล็กน้อย เพื่อมีช่องทางในการเปิดประตูหากเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น รถดับกลางน้ำ หรือมีน้ำเริ่มเข้าสู่ห้องโดยสาร เพราะแรงดันน้ำจากภายนอกอาจทำให้เปิดประตูได้ยาก หากระบบไฟฟ้าในรถไม่ทำงาน การเปิดกระจกที่ลดไว้ล่วงหน้าจะช่วยให้สามารถหนีออกจากรถได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยมากกว่า

4. เว้นระยะจากรถคันหน้า

เว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการตัดสินใจหากเกิดเหตุไม่คาดคิด เช่น คันหน้าหยุดกระทันหัน รถดับกลางน้ำ หรือเปลี่ยนทิศทางกะทันหันเพราะพื้นถนนทรุด

และลดความเสี่ยงคลื่นน้ำจากล้อของคันหน้า กระเด็นเข้าสู่ด้านหน้ารถคุณในปริมาณมากกว่าปกติ ซึ่งเสี่ยงทำให้น้ำกระแทกเข้าท่อไอดีหรือระบบไฟฟ้าใต้ท้องรถได้มากขึ้น

5. หลังพ้นน้ำท่วมแล้ว ให้เช็กระบบทันที

ควรรีบตรวจสอบความผิดปกติของระบบต่างๆ ทันที โดยเริ่มจาก เหยียบเบรกเบาๆ หลายครั้ง เพื่อช่วยไล่น้ำที่อาจค้างอยู่ในจานเบรก จะช่วยให้เบรกกลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น แต่หากเบรกจมหรือเบรกไม่อยู่ควรรีบนำรถเข้าตรวจเช็กและทำความสะอาดระบบเบรกอย่างละเอียดโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ

และสังเกตไฟเตือนบนหน้าปัด โดยเฉพาะไฟรูปเครื่องยนต์, ไฟแบตเตอรี่ หรือไฟ ABS หากมีไฟขึ้น แม้รถยังวิ่งได้ควรนำรถเข้าตรวจเช็กที่ศูนย์บริการทันที เพราะอาจมีความชื้นหรือน้ำซึมเข้าสู่ระบบไฟฟ้าหรือกล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECU)

ห้ามลืม! ถ้ารถดับกลางน้ำ ห้ามสตาร์ทซ้ำเด็ดขาด

เพราะน้ำอาจเข้าเครื่องแล้ว การสตาร์ทจะยิ่งทำให้เกิดความเสียหาย (Hydrolock) ให้รีบเข็นรถขึ้นที่แห้ง หรือโทรเรียกบริการช่วยเหลือ

 

เพื่อความอุ่นใจในการขับขี่ในช่วงฤดูฝนหรือพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม การมีประกันรถยนต์ที่ครอบคลุมความเสียหายจากน้ำท่วมก็เป็นสิ่งสำคัญ แนะนำประกันรถยนต์จากทิพยประกันภัย ที่คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์จากน้ำท่วม อุบัติเหตุต่างๆ และมาพร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ให้คุณมั่นใจได้ทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเจอฝนหนักหรือน้ำท่วมฉับพลัน

สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและซื้อประกันออนไลน์ได้ที่ TIPINSURE.COM หรือโทร. 1736

#Tag: