รถยนต์กี่ปีต้องตรวจสภาพ เช็กให้ชัวร์ก่อนเตรียมตัวเสียภาษีประจำปี

คำถามที่เจ้าของรถทุกคนต้องเจอเมื่อถึงเวลาต่อภาษีรถยนต์ประจำปีก็คือ รถยนต์กี่ปีต้องตรวจสภาพ? คำตอบที่ชัดเจนตามกฎหมายคือ รถยนต์ส่วนบุคคลที่มีอายุการใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป และ รถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานครบ 5 ปีขึ้นไป ต้องทำการตรวจสภาพก่อนจึงจะสามารถต่อภาษีได้ แต่การตรวจสภาพนั้นมีความสำคัญมากกว่าแค่การทำตามกฎระเบียบ เพราะมันคือการยืนยันว่ารถของคุณยังอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย พร้อมใช้งานบนท้องถนน วันนี้ TIPINSURE ได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาให้คุณแล้ว
รถยนต์อายุกี่ปีถึงต้องตรวจสภาพ
การตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเสียภาษีเป็นข้อบังคับทางกฎหมายที่กำหนดโดยกรมการขนส่งทางบก เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนน ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากความบกพร่องของตัวรถ และยังช่วยควบคุมมลพิษทางอากาศจากท่อไอเสียอีกด้วย ดังนั้น หากรถของคุณเข้าข่ายตามเกณฑ์ที่กำหนด การนำรถไปตรวจสภาพรถจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเกณฑ์การแบ่งอายุของรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ที่ต้องเข้ารับการตรวจสภาพ มีดังนี้
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง, SUV, รถกระบะ 4 ประตู) มีอายุใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รถตู้) มีอายุใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป
- รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถกระบะ, รถกระบะมีแค็บ) มีอายุใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป
- รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีอายุใช้งานครบ 5 ปีขึ้นไป
วิธีนับอายุรถที่ถูกต้อง สำหรับตรวจสภาพ
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการนับอายุรถยนต์ให้นับจาก ปีที่ผลิต ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน วิธีการนับอายุรถที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อใช้ในการตรวจสภาพรถนั้น จะต้องนับจาก วันที่จดทะเบียนครั้งแรก ที่ระบุไว้ในสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ หรือที่เรียกกันติดปากว่า เล่มทะเบียน ตัวอย่างเช่น หากรถของคุณจดทะเบียนครั้งแรกในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2561 รถคันดังกล่าวจะถือว่ามีอายุครบ 7 ปี และต้องเข้ารับการตรวจสภาพเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2568 ก่อนถึงวันสิ้นสุดอายุภาษีประจำปี
ตรวจสภาพรถได้ที่ไหนบ้าง
เมื่อทราบแล้วว่ารถของคุณต้องตรวจสภาพ คำถามถัดมาคือจะนำรถไปตรวจที่ไหนได้บ้าง ซึ่งปัจจุบันมีความสะดวกสบายมากขึ้น โดยสามารถเลือกใช้บริการได้จาก 2 สถานที่หลัก ๆ ตามความสะดวกและประเภทของรถยนต์
สถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.)
สถานตรวจสภาพรถเอกชน หรือ ตรอ. คือสถานที่ที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดสำหรับเจ้าของรถส่วนใหญ่ โดยเป็นสถานบริการที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบกให้สามารถดำเนินการตรวจสภาพรถยนต์และรถจักรยานยนต์ตามมาตรฐานที่กำหนดได้ ปัจจุบันมี ตรอ. เปิดให้บริการอยู่ทั่วประเทศ ทำให้สามารถค้นหาสถานที่ใกล้บ้านได้ไม่ยาก เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ไม่มีการดัดแปลงสภาพ และไม่ได้ขาดต่อภาษีเกิน 1 ปี การใช้บริการที่ ตรอ. จะช่วยประหยัดเวลาได้อย่างมาก เพราะเมื่อตรวจสภาพผ่านแล้ว จะได้รับใบรับรองเพื่อนำไปยื่นชำระภาษีได้ทันที
สำนักงานขนส่งทางบก
สำหรับรถยนต์บางประเภทที่ไม่สามารถตรวจสภาพที่ ตรอ. ได้ จำเป็นต้องนำรถเข้าไปตรวจสภาพที่สำนักงานของกรมการขนส่งทางบกโดยตรง ซึ่งได้แก่กรณีต่าง ๆ ดังนี้
รถยนต์ที่มีการดัดแปลงสภาพผิดไปจากที่จดทะเบียนไว้ เช่น เปลี่ยนสีตัวรถ, เปลี่ยนเครื่องยนต์, ติดตั้งโครงหลังคา หรือแก้ไขระบบเชื้อเพลิง
- รถยนต์ที่ขาดการต่อภาษีประจำปีเกิน 1 ปีขึ้นไป
- รถยนต์ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลขตัวถังหรือเลขเครื่องยนต์ เช่น ชำรุด หรือเลือนลาง
- รถที่เคยแจ้งหยุดการใช้งานชั่วคราวและต้องการกลับมาใช้งานใหม่
- การนำรถเข้าตรวจที่สำนักงานขนส่งอาจใช้เวลามากกว่า แต่ก็จำเป็นเพื่อให้รถของคุณกลับมามีสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมาย

เอกสารที่ต้องใช้ และค่าใช้จ่ายทั้งหมด
การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปตรวจสภาพรถจะช่วยให้ทุกอย่างราบรื่นและรวดเร็วขึ้น สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมไปมีเพียงเอกสารและค่าใช้จ่ายเล็กน้อย ซึ่งทั้งหมดเป็นอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจน
เตรียมเอกสารอะไรไปบ้าง?
เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นตรวจสภาพรถมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (เล่มสีน้ำเงิน) ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งเล่มจริง หรือสำเนาหน้าทะเบียนรถก็ได้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ใช้ในการอ้างอิงข้อมูลของตัวรถให้ถูกต้องตรงกัน
ค่าตรวจสภาพรถ ราคาเท่าไหร่?
อัตราค่าบริการในการตรวจสภาพรถเป็นอัตรามาตรฐานที่กำหนดโดยกรมการขนส่งทางบก ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามประเภทของรถ ดังนี้
- รถจักรยานยนต์ คันละ 60 บาท
- รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 2,000 กิโลกรัม คันละ 200 บาท (เช่น รถเก๋ง, กระบะ ส่วนใหญ่)
- รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 2,000 กิโลกรัม คันละ 300 บาท (เช่น รถ SUV ขนาดใหญ่, รถตู้)
ขั้นตอนการตรวจสภาพรถ มีอะไรบ้าง?
กระบวนการตรวจสภาพรถที่ ตรอ. ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้น โดยเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบส่วนประกอบต่าง ๆ ของรถเพื่อให้มั่นใจว่ายังทำงานได้ดีและปลอดภัยตามมาตรฐาน ซึ่งมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
- ยื่นเอกสาร แจ้งความประสงค์และยื่นสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (หรือสำเนา) ให้กับเจ้าหน้าที่
- ชำระค่าบริการ ชำระค่าตรวจสภาพตามประเภทรถของคุณ
- นำรถเข้ารับการตรวจ เจ้าหน้าที่จะนำรถของคุณไปตรวจสอบตามรายการต่าง ๆ เช่น
- การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลรถกับเอกสาร
- ตรวจวัดความเข้มของควันดำและระดับเสียงของท่อไอเสีย
- ตรวจสอบระบบไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณทั้งหมด
- ตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบเบรกและช่วงล่าง
- ตรวจสอบสภาพตัวถัง, สี, และอุปกรณ์ส่วนควบต่าง ๆ
- รอรับผลและใบรับรอง เมื่อรถผ่านการตรวจทุกขั้นตอน เจ้าหน้าที่จะออกใบรับรองผลการตรวจสภาพให้ ซึ่งใบรับรองนี้มีอายุการใช้งาน 3 เดือน สำหรับนำไปยื่นเสียภาษีต่อไป
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตรวจสภาพรถ
ตรวจสภาพรถล่วงหน้าได้กี่เดือน?
เพื่อความสะดวกและเป็นการวางแผนล่วงหน้า กฎหมายอนุญาตให้เจ้าของรถสามารถนำรถไปตรวจสภาพล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน ก่อนถึงวันสิ้นอายุภาษีประจำปี การเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ดี เพราะหากตรวจแล้วพบข้อบกพร่อง จะได้มีเวลาเพียงพอในการนำรถไปซ่อมแซมแก้ไข
ตรวจสภาพไม่ผ่าน ต้องทำอย่างไร?
ในกรณีที่รถของคุณตรวจสภาพไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ทาง ตรอ. หรือเจ้าหน้าที่จะออกใบแจ้งผลรายการที่ต้องแก้ไขให้ จากนั้นคุณต้องนำรถไปดำเนินการซ่อมแซมในส่วนที่บกพร่องให้เรียบร้อย และนำกลับมาตรวจใหม่ภายใน 15 วันนับจากวันที่ตรวจไม่ผ่านครั้งแรก หากนำมาตรวจซ้ำในรายการเดิมภายในเวลาที่กำหนด จะเสียค่าบริการเพียงครึ่งหนึ่งของราคาปกติ แต่หากเกิน 15 วันไปแล้ว จะต้องเริ่มต้นกระบวนการและชำระค่าบริการเต็มจำนวนใหม่ทั้งหมด
รถติดแก๊ส ต้องตรวจอะไรเพิ่มเติม?
สำหรับรถยนต์ที่ติดตั้งระบบแก๊ส ไม่ว่าจะเป็น LPG หรือ NGV นอกจากจะต้องตรวจสภาพรถยนต์ประจำปีตามปกติแล้ว ยังต้องมี ใบรับรองการตรวจและทดสอบส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์ของรถที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว/ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งออกโดยผู้ตรวจและทดสอบที่ได้รับความเห็นชอบจากกรมการขนส่งทางบก โดยใบรับรองนี้จะต้องนำมาแสดงควบคู่กันตอนยื่นเรื่องตรวจสภาพรถและต่อภาษีประจำปีด้วย

สรุปบทความ
การทำความเข้าใจว่ารถยนต์กี่ปีต้องตรวจสภาพ คือหนึ่งในความรับผิดชอบพื้นฐานของเจ้าของรถทุกคน การตรวจสภาพรถตามกำหนดเวลาไม่เพียงแต่ทำให้คุณสามารถต่อภาษีรถยนต์ได้อย่างถูกกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการเช็กความพร้อมและความปลอดภัยของรถที่คุณรัก เพื่อให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ แม้เราจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหนก็ตาม การมีประกันภัยรถยนต์จาก TIPINSURE จะช่วยคุ้มครองคุณจากเหตุไม่คาดฝัน เพื่อช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา อำนวยความสะดวกคุณได้เมื่อภัยมา ไม่ว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงแค่ไหน ก็พร้อมดูแลคุณและรถของคุณอย่างเต็มที่