โดนรถตัดหน้า ใครผิด พร้อมยกตัวอย่างกรณีที่ผู้ใช้รถต้องรู้ให้ทัน
การถูกรถตัดหน้า ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างความตกใจและน่าหวาดเสียวที่สุด ซึ่งมักเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุบนท้องถนน สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน การเข้าใจหลักกฎหมายและวิธีพิจารณาความถูกผิดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง วันนี้ TIPINSURE ได้รวบรวมข้อมูลและกรณีศึกษาที่พบบ่อยมาวิเคราะห์ให้เข้าใจง่าย ๆ เพื่อให้คุณรู้ทันและรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างถูกต้องเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์รถตัดหน้า และวิเคราะห์ได้ว่าใครผิด
เข้าใจกฎหมายเบื้องต้น ใครคือฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบ?
เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากรถตัดหน้า การตัดสินว่าใครถูกหรือผิดไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึก แต่ต้องอิงตามหลักกฎหมายจราจรเป็นสำคัญ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับความเป็นธรรมและดำเนินการด้านเคลมประกันได้อย่างถูกต้อง
หลักการพื้นฐาน รถทางตรงมีสิทธิ์ไปก่อนเสมอ
ตามหลักปฏิบัติสากลและกฎหมายจราจรไทย ให้สิทธิ์แก่รถที่วิ่งมาในทางตรงหรือทางเอกก่อนเสมอ หมายความว่ารถที่กำลังจะออกจากซอย, เปลี่ยนเลน, หรือกลับรถ จะต้องเป็นฝ่ายหยุดรอให้รถทางตรงที่วิ่งมาด้วยความเร็วปกติขับผ่านไปก่อนจนกว่าจะปลอดภัย จึงจะสามารถเคลื่อนรถของตนเองได้ หากฝ่าฝืนจนเป็นเหตุให้เกิดการเฉี่ยวชน ฝ่ายที่ตัดหน้าออกมามักจะเป็นฝ่ายผิดอย่างเต็มประตู
พ.ร.บ. จราจรทางบกที่เกี่ยวข้องกับกรณีรถตัดหน้า
การขับรถตัดหน้าหรือปาดหน้าในระยะกระชั้นชิด ไม่ใช่แค่การเสียมารยาทในการขับขี่ แต่ยังเข้าข่ายเป็นการขับรถประมาทและมีความผิดตามกฎหมายอย่างชัดเจน โดย พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ได้ระบุไว้ว่า
- มาตรา 43 (4) ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
- มาตรา 157 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 43(4) ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 400 บาท ถึง 1,000 บาท
จากข้อกฎหมายข้างต้น การขับรถปาดหน้าหรือตัดหน้าอย่างกะทันหันถือเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริง ๆ การพิจารณาอาจซับซ้อนกว่านั้น เมื่อไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้จนไปถึงกระบวนการส่งฟ้องศาล ก็จะต้องมีการนำหลักฐานและเจตนาของทั้ง 2 ฝ่าย มาประกอบการพิจารณาคดี ซึ่งคำตัดสินถูกผิดจะอยู่ที่ดุลพินิจในการตัดสินของศาล
เปิด 4 กรณีศึกษารถตัดหน้าที่พบบ่อย ใครถูกใครผิด?
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เรามาย่อยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยบนท้องถนน พร้อมวิเคราะห์ตามหลักกฎหมายว่าในแต่ละกรณีใครผิดหรือถูก เพื่อให้ผู้ขับขี่ทุกคนได้ระมัดระวังและเข้าใจสิทธิ์ของตัวเอง
กรณีที่ 1 รถเลี้ยวออกจากซอยตัดหน้ารถทางตรง
รถคันหนึ่งกำลังเลี้ยวออกจากซอย (ทางโท) เพื่อเข้าสู่ถนนเส้นหลัก (ทางเอก) แต่ไม่ทันระวังหรือกะระยะผิดพลาด ทำให้ไปตัดหน้ารถที่วิ่งมาทางตรงในเลนซ้ายสุด
กรณีนี้ชัดเจนที่สุดตามหลักกฎหมายจราจร รถที่มาจากทางโทหรือซอยมีหน้าที่ต้องหยุดรอให้รถในทางเอกไปก่อนเสมอ ดังนั้น รถยนต์ที่พุ่งออกจากซอยถือเป็นฝ่ายผิดเต็ม ๆ เพราะเป็นต้นเหตุโดยตรงของการเกิดอุบัติเหตุ แต่หากพิสูจน์ได้ว่ารถทางตรงขับมาด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดมาก อาจถูกพิจารณาเป็นความประมาทร่วมได้เช่นกัน
กรณีที่ 2 รถเปลี่ยนเลนกะทันหันตัดหน้ารถคันอื่น
รถคันหน้าเปลี่ยนเลนอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้สัญญาณไฟ หรือให้สัญญาณแล้วหักเข้ามาทันที ทำให้รถที่วิ่งอยู่ในเลนนั้นเบรกไม่ทันและชนเข้าที่ด้านข้างหรือท้ายรถ
ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนเลนมีหน้าที่ต้องมองกระจกข้างและให้สัญญาณไฟล่วงหน้าในระยะที่เหมาะสม และต้องแน่ใจว่าปลอดภัยจึงจะเปลี่ยนเลนได้ การเปลี่ยนเลนกะทันหันถือเป็นการกระทำโดยประมาท ดังนั้นรถคันที่เปลี่ยนเลนจึงเป็นฝ่ายผิด แต่หากรถคันที่ถูกตัดหน้าขับจี้ท้ายในระยะกระชั้นชิดเกินไป ก็อาจโดนข้อหาประมาทร่วมได้
กรณีที่ 3 รถกลับรถในที่ห้ามกลับตัดหน้ารถทางตรง
ณ จุดกลับรถที่มีป้ายหรือสัญลักษณ์ห้ามกลับรถ แต่มีรถยนต์ฝ่าฝืนทำการกลับรถ ทำให้ไปตัดหน้ารถที่วิ่งมาทางตรงและเกิดการชนกัน
การกลับรถในที่ห้ามกลับ ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายจราจรอย่างชัดเจนอยู่แล้ว เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น ผู้ที่ฝ่าฝืนกลับรถจึงต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบความเสียหายไปเต็ม ๆ กรณีนี้โอกาสที่จะเป็นประมาทร่วมนั้นน้อยมาก ยกเว้นแต่รถทางตรงจะเมาแล้วขับ หรือมีพฤติกรรมขับรถประมาทอื่น ๆ ร่วมด้วย
กรณีที่ 4 มอเตอร์ไซค์ตัดหน้ารถยนต์ในระยะกระชั้นชิด
รถจักรยานยนต์ขับขี่มาแล้วเปลี่ยนเลนกะทันหัน หรือพุ่งออกจากซอยมาตัดหน้ารถยนต์ในระยะที่ใกล้มาก ๆ จนรถยนต์ไม่สามารถหยุดได้ทัน
หลักการพิจารณาไม่ต่างจากรถยนต์ทั่วไป รถจักรยานยนต์ที่เปลี่ยนเลนหรือออกจากซอยกะทันหันถือเป็นฝ่ายผิด เนื่องจากเป็นฝ่ายก่อให้เกิดเหตุ แต่ด้วยขนาดที่เล็กกว่าและมีความคล่องตัวสูง ทำให้พฤติกรรมการตัดหน้ามักจะเกิดขึ้นในระยะที่กระชั้นชิดกว่าปกติ ซึ่งเป็นข้อถกเถียงบ่อยครั้งว่ารถตัดหน้าแบบนี้ใครผิด ในกรณีดังกล่าวกล้องหน้ารถจะสำคัญมากในการยืนยันระยะห่างและสถานการณ์จริง
ประมาทร่วมเกิดขึ้นได้หรือไม่ในกรณีรถตัดหน้า?
หลายคนอาจสงสัยว่าเมื่อถูกตัดหน้าอย่างชัดเจน เราจะมีส่วนผิดด้วยหรือ? คำตอบคือ "เป็นไปได้" หากเรามีส่วนในการกระทำโดยประมาทที่ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุหรือทำให้ความเสียหายรุนแรงขึ้น แม้ว่าคู่กรณีจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่พฤติกรรมการขับขี่ของเราก็ถูกนำมาพิจารณาด้วยเช่นกัน โดยปัจจัยที่อาจทำให้เรากลายเป็นฝ่ายประมาทร่วม มีดังนี้
- ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นปัจจัยที่ถูกหยิบยกมาพิจารณามากที่สุด เพราะการขับรถเร็วทำให้ระยะเบรกยาวขึ้นและลดเวลาในการตัดสินใจ หากคุณขับมาด้วยความเร็วสูง แม้จะอยู่ในทางตรง ก็อาจถูกมองว่ามีส่วนทำให้หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุไม่ได้
- ขับรถจี้ท้ายคันหน้าในระยะกระชั้นชิด การไม่เว้นระยะห่างที่ปลอดภัย ทำให้เมื่อรถคันหน้าเบรกหรือมีเหตุฉุกเฉิน คุณจะไม่สามารถหยุดรถได้ทันและกลายเป็นฝ่ายชนท้าย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรถที่ชนท้ายมักเป็นฝ่ายผิด
- การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ การกระทำดังกล่าวลดทอนสมาธิในการขับขี่อย่างมาก หากมีหลักฐานว่าคุณกำลังใช้โทรศัพท์ในขณะเกิดเหตุ อาจถูกพิจารณาว่าขาดความระมัดระวังเท่าที่ควร
- เมาแล้วขับ เป็นความประมาทอย่างร้ายแรง หากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แม้คุณจะเป็นฝ่ายถูกตัดหน้า ก็อาจกลายเป็นฝ่ายผิดหรืออย่างน้อยก็เป็นประมาทร่วมได้ทันที
ขั้นตอนที่ควรทำทันทีเมื่อถูกรถตัดหน้า
เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้นแล้ว การตั้งสติและลำดับขั้นตอนการรับมือให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อรักษาสิทธิ์ของตัวเองและทำให้กระบวนการเคลมประกันเป็นไปอย่างราบรื่น
ตั้งสติและตรวจสอบความปลอดภัย
สิ่งแรกที่ต้องทำคือการตั้งสติให้มั่น เปิดไฟฉุกเฉินเพื่อเป็นสัญญาณเตือนรถคันอื่น ตรวจสอบการบาดเจ็บของตนเองและผู้โดยสาร หากมีผู้บาดเจ็บให้รีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 ทันที หากเคลื่อนย้ายรถได้ ให้นำรถเข้าข้างทางในบริเวณที่ปลอดภัยเพื่อไม่ให้กีดขวางการจราจร
เก็บหลักฐานสำคัญ (ภาพถ่าย, วิดีโอ, พยาน)
หลักฐาน ณ ที่เกิดเหตุคือหัวใจสำคัญในการพิสูจน์ว่าใครถูกหรือผิด ให้ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปหรือวิดีโอสภาพรถของคุณและคู่กรณี ลักษณะการชน ตำแหน่งของรถบนถนน ป้ายทะเบียน ร่องรอยความเสียหาย ป้ายจราจรหรือเส้นถนนบริเวณนั้น หากมีกล้องหน้ารถให้เก็บไฟล์วิดีโอไว้ทันที และหากมีผู้เห็นเหตุการณ์ ให้ขอข้อมูลติดต่อไว้เพื่อเป็นพยาน
แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและบริษัทประกันภัย
โทรแจ้งตำรวจ (191) เพื่อมาตรวจสอบที่เกิดเหตุและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นให้รีบติดต่อบริษัทประกันภัยของคุณทันที เจ้าหน้าที่สำรวจภัยจะเดินทางมายังที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบความเสียหายและให้คำแนะนำในการดำเนินการเคลมประกัน อย่าเพิ่งเจรจาหรือตกลงยอมความใด ๆ กับคู่กรณีก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกรณีรถตัดหน้า
ไม่มีกล้องหน้ารถ จะพิสูจน์ความผิดได้อย่างไร?
แม้ไม่มีกล้องหน้ารถซึ่งเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด แต่ยังสามารถใช้หลักฐานอื่นประกอบได้ เช่น พยานบุคคลในที่เกิดเหตุ, กล้องวงจรปิดจากอาคารหรือร้านค้าใกล้เคียง, ลักษณะของความเสียหายและตำแหน่งการชนของรถทั้งสองคัน รวมถึงคำให้การและแผนที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกนำมาใช้ประกอบการพิจารณาว่าใครถูกหรือผิด
กรณีรถตัดหน้าแล้วหนี ควรทำอย่างไร?
หากคู่กรณีหลบหนี สิ่งสำคัญคือต้องจดจำข้อมูลให้ได้มากที่สุด เช่น ยี่ห้อ รุ่น สี และหมายเลขทะเบียนรถ (แม้จะจำได้ไม่ครบทุกตัวก็ยังดี) จากนั้นให้รีบเข้าแจ้งความกับตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุทันที เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดตามจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะหลบหนี และแจ้งบริษัทประกันภัยของคุณเพื่อขอคำแนะนำในการเคลมประกันรถยนต์กรณีไม่มีคู่กรณี
สรุปบทความ
อุบัติเหตุจากการถูกรถตัดหน้าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด การขับรถด้วยความไม่ประมาท เคารพกฎจราจร และมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทาง คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด แต่หากเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น การรู้ว่ารถตัดหน้า ใครผิด และขั้นตอนการรับมือที่ถูกต้องจะช่วยรักษาสิทธิ์ของคุณได้ และเพื่อให้คุณอุ่นใจยิ่งขึ้นในทุกการเดินทาง การมีประกันรถยนต์จาก TIPINSURE จะเข้ามาช่วยคุ้มครองและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินที่คอยอำนวยความสะดวกให้คุณเมื่อภัยมา ไม่ว่าเหตุจะหนักแค่ไหน ก็พร้อมดูแลให้คุณผ่านพ้นไปได้ด้วยดี