ต่อประกันรถยนต์ 2 บริษัทแบบนี้ผิดไหม? เคลมได้จริงหรือเสียสิทธิ์
คุณอาจเคยได้ยินคำแนะนำจากเพื่อนหรือคนใกล้ตัวว่าทำประกันไว้หลายๆ ที่เผื่อเอาไว้ แต่เกิดคำถามขึ้นว่าการต่อประกันรถยนต์พร้อมกัน 2 บริษัทจะผิดกฎหมายหรือไม่? แล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา จะเคลมได้จริงหรือจะเสียสิทธิ์ไปเลย?
ปกติแล้วคนทั่วไปมักเลือกเพียงบริษัทเดียวที่ให้ความคุ้มครองดีที่สุด แต่ก็มีหลายคนที่ไม่มั่นใจ หรืออยากได้ความอุ่นใจมากขึ้น จึงตัดสินใจซื้อประกันกับ 2 บริษัทซ้ำซ้อน โดยไม่แน่ใจว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
TIPINSURE จะพาคุณมาทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าการมีประกันซ้ำซ้อนถือว่าผิดหรือไม่ มีข้อกฎหมายหรือเงื่อนไขประกันอะไรบ้างที่ต้องระวัง และถ้าเกิดเหตุขึ้นจริงจะสามารถเคลมได้ไหม หรือมีสิทธิ์สูญเสียผลประโยชน์บางส่วนหรือไม่
ประกันซ้ำซ้อนคืออะไร?
ประกันซ้ำซ้อน (Double Insurance) คือ การที่บุคคลหนึ่งทำประกันภัยในเรื่องเดียวกันกับบริษัทประกันภัยหลายแห่ง หรือทำประกันภัยหลายฉบับกับบริษัทเดียวกัน โดยทั้งสองกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองในลักษณะใกล้เคียงหรือเหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น รถยนต์คันหนึ่งทำประกันชั้น 1 กับบริษัท A ครอบคลุม 1 มกราคม – 31 ธันวาคม แล้วในระหว่างนั้นเจ้าของรถไปทำประกันชั้น 1 อีกฉบับหนึ่งกับบริษัท B ครอบคลุมช่วงเวลาเดียวกัน นั่นคือ การมีกรมธรรม์ซ้ำซ้อน
สาเหตุที่หลายคนตัดสินใจทำประกันซ้ำซ้อน
อาจเกิดจากหลายปัจจัย บางคนไม่มั่นใจในบริการของบริษัทแรก กังวลว่าเมื่อถึงเวลาต้องเคลมจะไม่ได้รับความช่วยเหลือเต็มที่ จึงเลือกทำประกันเพิ่มอีกฉบับเพื่อความสบายใจ อีกกลุ่มหนึ่งมาจากการเห็นโปรโมชั่นหรือส่วนลดพิเศษของบริษัทอื่นที่ดึงดูดใจจนตัดสินใจซื้อเพิ่ม แม้ว่าจะมีประกันคุ้มครองอยู่แล้ว
หรือบางรายเข้าใจผิดคิดว่าการทำประกันหลายบริษัทจะได้รับความคุ้มครองมากขึ้นหรือได้เงินชดเชยเพิ่มขึ้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และยังมีอีกหลายคนที่ไม่ทราบว่าตัวเองทำประกันซ้ำซ้อนอยู่ เช่น ลืมว่าต่อกับบริษัทเดิมแล้วไปทำกับบริษัทใหม่โดยไม่ได้ยกเลิกของเดิม ทำให้ในช่วงเวลาเดียวกันรถยนต์คันเดียวกันถูกคุ้มครองโดยสองบริษัทพร้อมกันโดยไม่ตั้งใจ
ทำประกันรถยนต์ 2 บริษัท ผิดกฎหมายหรือไม่?
การทำประกันรถยนต์ซ้ำซ้อนกับ 2 บริษัท ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้นตามที่เข้าใจเสมอไป เพราะในหลักการของประกันภัยทรัพย์สิน (เช่น รถยนต์) นั้นมีหลัก ห้ามเอาประโยชน์เกินจริง (Principle of Indemnity) หมายถึง ผู้เอาประกันจะได้รับค่าชดเชยตามความเสียหายจริงเท่านั้น ไม่ว่าจะทำประกันไว้กี่ฉบับก็ตาม
ข้อกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไม่ได้มีกฎหมายห้ามทำประกันซ้ำซ้อน แต่จะมีหลักการที่บริษัทประกันนำมาใช้คือ
- ผู้เอาประกันต้อง เปิดเผยข้อเท็จจริงสำคัญ ให้กับบริษัทประกัน เช่น หากทำประกันอีกฉบับหนึ่งควรแจ้งบริษัทเดิม
- หากมีประกันหลายฉบับครอบคลุมทรัพย์สินเดียวกัน บริษัทประกันแต่ละแห่ง จะร่วมรับผิดตามสัดส่วน ของความคุ้มครองที่กำหนด ไม่ใช่ชดเชยซ้ำซ้อน
เงื่อนไขของกรมธรรม์ที่ควรรู้
- หลักคุ้มครองตามมูลค่าความเสียหายจริง
- หากรถยนต์เสียหาย 100,000 บาท แม้มีประกัน 2 ฉบับ บริษัทประกันรวมกันจะจ่ายไม่เกิน 100,000 บาท โดยแบ่งกันตามสัดส่วนความรับผิดที่ตกลงกัน
- ข้อกำหนดการแจ้งข้อมูล
- กรมธรรม์บางฉบับระบุชัดว่า หากผู้เอาประกันมีกรมธรรม์อื่นที่คุ้มครองรถคันเดียวกัน ต้องแจ้งให้บริษัททราบ หากไม่แจ้งอาจมีปัญหาเวลาเคลม เช่น บริษัทหนึ่งปฏิเสธจ่ายเพราะไม่เปิดเผยข้อเท็จจริง
- ไม่มีการจ่ายผลประโยชน์ซ้ำซ้อน
- การมีกรมธรรม์ 2 ฉบับไม่ได้หมายความว่าจะได้ค่าซ่อมสองเท่า แต่จะช่วยให้ มั่นใจว่ามีบริษัทสำรองหากอีกบริษัทหนึ่งมีปัญหา
ถ้าเกิดอุบัติเหตุ จะเคลมได้อย่างไร?
ขั้นตอนการเคลมเมื่อมี 2 กรมธรรม์
- แจ้งเหตุไปยังบริษัทใดบริษัทหนึ่งก่อน
- เมื่อเกิดอุบัติเหตุ คุณไม่จำเป็นต้องโทรแจ้งทั้งสองบริษัทในทันที สามารถเลือกแจ้งไปยังบริษัทที่คุณมั่นใจเรื่องบริการหรือประสบการณ์เคลมก่อน
- เจ้าหน้าที่จะเข้ามาตรวจสอบหน้างาน ทำบันทึกเหตุการณ์และประเมินความเสียหาย
- แจ้งอีกบริษัทภายหลัง (ถ้าจำเป็น)
- หลังจากแจ้งบริษัทแรกแล้ว คุณสามารถแจ้งอีกบริษัทให้ทราบว่าคุณมีกรมธรรม์ซ้ำซ้อน เพื่อให้พวกเขาประสานงานกันในภายหลัง
- ในขั้นตอนนี้ควรเตรียมสำเนากรมธรรม์ทั้งสองฉบับ และหลักฐานความเสียหาย เช่น รูปถ่ายหรือเอกสารจากบริษัทแรก
- ส่งเอกสารประกอบการเคลมให้ครบถ้วน
- ใบเคลม / สำเนากรมธรรม์ทั้งสองฉบับ / รายงานจากตำรวจ (ถ้ามี) / ใบเสร็จค่าซ่อมฯลฯ
- เอกสารเหล่านี้ช่วยให้บริษัทประกันทั้งสองสามารถคำนวณความรับผิดชอบได้ถูกต้อง
- รอการประเมินและการชำระเงินตามสัดส่วน
- หลังจากตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อย ทั้งสองบริษัทจะสรุปผลการเคลมและแจ้งวงเงินชดเชยตามเงื่อนไข
การแบ่งความรับผิดชอบของบริษัทประกัน
บริษัทประกันจะไม่จ่ายซ้ำซ้อน แต่จะเฉลี่ยความรับผิดชอบตามสัดส่วนความคุ้มครอง
- ตัวอย่าง
ถ้าคุณมีประกันชั้น 1 กับบริษัท A คุ้มครอง 500,000 บาท และมีประกันชั้น 1 กับบริษัท B คุ้มครอง 500,000 บาท เมื่อรถยนต์เกิดความเสียหายจริง 100,000 บาท บริษัท A และ B จะหารกันรับผิดชอบตามสัดส่วนเท่าๆ กัน คือบริษัทละ 50,000 บาท
แต่ถ้ากรมธรรม์สองฉบับมีทุนประกันไม่เท่ากัน บริษัทจะเฉลี่ยตามสัดส่วนของทุนประกันนั้น เช่น บริษัท A คุ้มครอง 700,000 บาท / บริษัท B คุ้มครอง 300,000 บาท บริษัท A รับผิดชอบ 70% = 70,000 บาท และ บริษัท B รับผิดชอบ 30% = 30,000 บาท
ควรเลือกวิธีไหนดี?
ก่อนจะต่อประกันรถยนต์ คุณควรเปรียบเทียบความคุ้มครองจากหลายบริษัทอย่างละเอียด ไม่ใช่ดูแค่เพียงราคา แต่ต้องพิจารณาทุนประกัน ความคุ้มครองหลัก บริการเสริม เงื่อนไขพิเศษ และชื่อเสียงด้านการเคลม เพื่อให้มั่นใจว่ากรมธรรม์นั้นเหมาะกับพฤติกรรมการใช้รถของคุณจริงๆ
และเมื่อได้ข้อมูลครบแล้ว ควรเลือกเพียงบริษัทเดียวที่ให้ความคุ้มครองตรงความต้องการของคุณมากที่สุด ตรวจสอบกรมธรรม์เดิมก่อนทำใหม่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น การเลือกอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณได้ประกันที่คุ้มค่า ครอบคลุม และไม่ต้องจ่ายเบี้ยเพิ่มโดยไม่ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น
เพื่อความอุ่นใจเต็มที่ในการขับขี่ เลือกทำประกันภัยรถยนต์กับทิพยประกันภัย ที่พร้อมดูแล มอบความคุ้มครองครอบคลุมทุกการเดินทาง สอบถามรายละเอียดได้ที่ TIPINSURE.COM หรือโทร. 1736