เครดิตดีแต่กู้ซื้อรถไม่ผ่าน เช็กให้ชัดว่าเกิดจากอะไร
15 สิงหาคม 2025
ผู้ชม: 105 คน

เครดิตดีแต่กู้ซื้อรถไม่ผ่าน เช็กให้ชัดว่าเกิดจากอะไร

เครดิตดี แต่ทำไมธนาคารยังปฏิเสธคำขอกู้ซื้อรถ? หลายคนคิดว่าแค่มีประวัติการชำระหนี้ดี ไม่เคยผิดนัด ไม่ติดบูโร ก็เพียงพอแล้วสำหรับการขอกู้ซื้อรถยนต์ แต่ในความจริงกลับมีผู้ที่เครดิตดี จำนวนไม่น้อยที่ต้องประสบกับเหตุการณ์ชวนงง เมื่อไฟแนนซ์หรือธนาคารกลับไม่อนุมัติวงเงินที่ขอ

หากคุณกำลังวางแผนจะซื้อรถ แต่กลัวว่าจะเจอปัญหาแบบนี้ TIPINSURE พาคุณหาคำตอบให้ชัด ว่าปัญหานี้เกิดจากอะไรได้บ้าง และมีปัจจัยอะไรที่คุณอาจมองข้ามไป ทั้งเรื่องรายได้ สถานภาพทางการเงินภายหลังเครดิต ไปจนถึงพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลต่อการพิจารณาโดยตรง

 

เครดิตดีคืออะไร? แล้วทำไมยังไม่ผ่าน?

ความหมายของ เครดิตดี ตามนิยามสถาบันการเงิน ในมุมมองของหลายคนหมายถึงการมีประวัติการชำระหนี้ที่ตรงเวลา ไม่เคยผิดนัด ไม่เคยค้างชำระ และไม่ติดเครดิตบูโร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ดี แต่ไม่ได้การันตีว่าจะได้รับอนุมัติสินเชื่อเสมอไป

ในมุมของธนาคารหรือไฟแนนซ์ เครดิตดีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพิจารณา โดยยังต้องดูปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น

  • รายได้ต่อเดือน
  • ภาระหนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน (เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนบัตรเครดิต)
  • ลักษณะอาชีพ (มีรายได้ประจำหรือไม่)
  • อายุการทำงาน และเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว

 

จุดต่างระหว่าง เครดิตบูโรดี กับ ศักยภาพในการผ่อนชำระจริง

หลายคนเข้าใจว่าแค่มีเครดิตบูโรดีก็เพียงพอแล้วสำหรับการกู้ซื้อรถ แต่ในความจริงนั่นเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่สถาบันการเงินใช้พิจารณา เพราะสิ่งสำคัญไม่แพ้กันก็คือ ศักยภาพในการผ่อนชำระจริง หรือความสามารถในการผ่อนหนี้ในปัจจุบัน ซึ่งหมายถึงรายได้สุทธิของคุณหลังหักค่าใช้จ่ายและภาระหนี้เดิม ว่ายังเหลือเพียงพอสำหรับผ่อนรถใหม่ได้หรือไม่

แม้คุณจะมีเครดิตดี แต่ถ้ามีภาระหนี้เดิมมากเกินไป เช่น ผ่อนบ้านอยู่แล้ว ผ่อนบัตรเครดิต หรือมีภาระร่วมค้ำประกันกับผู้อื่น จนทำให้สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ (DTI) สูงเกินเกณฑ์ ธนาคารก็อาจตัดสินใจไม่อนุมัติวงเงินให้

สรุปคือ เครดิตบูโรดีเป็นแค่บันไดขั้นแรกในอดีต แต่ความสามารถในการผ่อนชำระคือสิ่งที่ธนาคารมองในปัจจุบันและอนาคต ดังนั้นก่อนขอสินเชื่อ อย่าลืมตรวจสอบทั้งประวัติการเงิน และความพร้อมทางการเงินในชีวิตจริงไปพร้อมกัน

 

รายได้ไม่สัมพันธ์กับภาระหนี้

แม้คุณจะมีรายได้สูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกู้ซื้อรถผ่านเสมอไป เพราะธนาคารไม่ได้ดูแค่ตัวเลขรายได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับ ภาระหนี้ ที่คุณมีอยู่ในปัจจุบันด้วย โดยเฉพาะ สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ หรือที่เรียกว่า DTI (Debt-to-Income Ratio)

DTI คือ ค่าที่แสดงถึงความสามารถในการผ่อนชำระของคุณ โดยคำนวณจากยอดหนี้รวมที่ต้องจ่ายต่อเดือน (รวมถึงผ่อนบ้าน ผ่อนบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลฯลฯ) เทียบกับรายได้ต่อเดือน ถ้าค่านี้สูงเกินไป ธนาคารจะมองว่าคุณมีความเสี่ยงในการเป็นหนี้เกินตัว และอาจไม่อนุมัติวงเงินให้

ตัวอย่างเช่น

  • หากคุณมีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน ธนาคารอาจกำหนด DTI ไม่เกิน 40% หมายความว่าคุณควรมีภาระหนี้รวมไม่เกิน 12,000 บาทต่อเดือน

หากคุณมีภาระผ่อนบ้านอยู่แล้ว 10,000 บาท และบัตรเครดิตอีก 3,000 บาท ก็จะเกินเกณฑ์ที่กำหนด แม้รายได้จะถือว่าอยู่ในระดับกลางถึงสูงก็ตาม

สิ่งสำคัญคือ รายได้กับภาระหนี้ต้องสอดคล้องกัน ที่หลายคนตกม้าตายตรงนี้โดยไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าแค่มีเงินเดือนสูงก็พอ ทั้งที่จริงการวางแผนลดภาระหนี้ก่อนยื่นกู้ เช่น ปิดสินเชื่อบางตัวหรือเคลียร์ยอดบัตรเครดิตให้เหลือน้อยลง จะช่วยเพิ่มโอกาสผ่านไฟแนนซ์ได้มากขึ้น

 

มีภาระผ่อนอื่นซ่อนอยู่

แม้คุณจะมั่นใจว่าไม่มีหนี้สินมากนัก แต่ธนาคารกลับมองต่างออกไป เพราะยังมี ภาระผ่อนที่ซ่อนอยู่ มีส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ แม้คุณอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นปัญหา

ภาระผ่อนที่ว่านี้รวมถึง สินเชื่อบุคคล หรือเงินกู้แบบไม่มีหลักประกัน ที่ผ่อนอยู่รายเดือน บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด ที่แม้คุณจะไม่ใช้เต็มวงเงิน แต่ธนาคารจะประเมินความเสี่ยงจากยอดที่ใช้ และวงเงินรวมที่เปิดไว้ เพราะถือว่าเป็นศักยภาพในการก่อหนี้ได้ทันที ยิ่งถ้าคุณเปิดหลายใบ หรือยอดใช้ใกล้เต็มวงเงิน ก็ยิ่งถูกมองว่าเสี่ยงต่อการใช้หนี้เกินตัว

ที่สำคัญคือ หนี้ร่วม และ การค้ำประกันผู้อื่น ถึงคุณจะไม่ได้ผ่อน แต่ถ้าไปเซ็นร่วมกู้ หรือค้ำประกันให้คนอื่นไว้ เช่น กู้บ้านร่วมกับคู่สมรส หรือค้ำรถให้เพื่อน ธนาคารจะนับภาระหนี้เหล่านั้นเป็นของคุณด้วย เพราะถ้าผู้กู้หลักผิดนัดชำระ คุณต้องรับผิดชอบแทนทันที

 

อาชีพและรายได้ไม่มั่นคง

หนึ่งในเหตุผลที่คนเครดิตดียื่นกู้ซื้อรถแล้วไม่ผ่านก็คือ ลักษณะอาชีพและความมั่นคงของรายได้ ถือเป็นปัจจัยที่ธนาคารให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่ารายได้หรือภาระหนี้ ถึงแม้รายได้คุณจะสูง แต่ถ้าแหล่งรายได้ ไม่แน่นอนหรือไม่มีความสม่ำเสมอ เช่น

  • ฟรีแลนซ์หรือผู้รับงานอิสระ
  • เจ้าของกิจการขนาดเล็ก
  • พนักงานสัญญาจ้างที่ไม่มีสวัสดิการระยะยาว
  • ผู้ที่มีรายได้หลักจากเงินสด ไม่มีหลักฐานทางการเงินชัดเจน

ในมุมมองของสถาบันการเงิน กลุ่มอาชีพเหล่านี้ถูกมองว่ามีความเสี่ยง เพราะรายได้อาจผันผวน ขาดรายได้ประจำในบางเดือน หรือไม่มีหลักฐานแน่ชัดในการตรวจสอบ ทำให้ธนาคารลังเลที่จะอนุมัติวงเงินให้

 

แล้วควรเตรียมตัวยังไง

หากคุณอยู่ในกลุ่มอาชีพเหล่านี้ วิธีเพิ่มโอกาสให้กู้ผ่าน คือ

  • จัดทำ เอกสารรายรับรายจ่ายย้อนหลัง อย่างน้อย 6 เดือน – 1 ปี
  • ยื่น รายการเดินบัญชี (Statement) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อแสดงว่ามีรายได้เข้าบัญชีจริง
  • เตรียม หนังสือรับรองรายได้ จากนายจ้าง หรือหลักฐานประกอบอื่น ๆ เช่น ใบสั่งจ้าง หรือใบเสร็จ

 

เคยยื่นกู้หลายที่ในเวลาใกล้กัน

หลายคนเข้าใจว่า หากยื่นกู้หลายสถาบันพร้อมกันจะช่วยเพิ่มโอกาสได้รับการอนุมัติเร็วขึ้น แต่ในความเป็นจริง กลับกลายเป็นผลเสียมากกว่าที่คิด เพราะทุกครั้งที่คุณยื่นขอสินเชื่อ ธนาคารจะทำการตรวจสอบประวัติจากเครดิตบูโรและการตรวจสอบเหล่านี้จะถูกบันทึกไว้ในระบบ

เมื่อมีรายการตรวจสอบบ่อยๆ ในช่วงเวลาใกล้กัน เช่น ยื่นกู้ 3-4 แห่งภายในเวลาไม่ถึง 30 วัน ระบบจะสะท้อนว่ามีความพยายามกู้หลายครั้ง ซึ่งธนาคารหรือไฟแนนซ์อาจตีความได้ว่า

  • คุณกำลังอยู่ในภาวะ ต้องการเงินอย่างเร่งด่วน
  • คุณ ถูกปฏิเสธจากที่อื่นมาแล้ว
  • หรือคุณมีปัญหาทางการเงินที่ทำให้ต้องขอกู้หลายแหล่งในเวลาใกล้กัน

ทั้งหมดนี้อาจทำให้ธนาคารพิจารณาว่าเป็นความเสี่ยง และเลือกไม่อนุมัติ แม้ประวัติเครดิตจะยังดูดีอยู่ก็ตาม

 

คำแนะนำ

  • หลีกเลี่ยงการยื่นกู้พร้อมกันหลายแห่ง เว้นแต่ว่าเป็นการเปรียบเทียบเบื้องต้น โดยยังไม่ให้ทางสถาบันยื่นเข้าระบบจริง
  • หากต้องเปรียบเทียบหลายเจ้า ควรสอบถามก่อนว่าใช้วิธีเช็กเบื้องต้นโดยไม่ดึงเครดิตบูโรได้หรือไม่
  • หรือรอเว้นระยะ 2–3 สัปดาห์ ระหว่างแต่ละการยื่นกู้ เพื่อให้ประวัติเครดิตดูสะอาด และไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ทางการเงิน

 

วิธีเตรียมตัวก่อนขอกู้ซื้อรถยนต์

การถูกปฏิเสธสินเชื่อไม่ได้แปลว่าคุณไม่มีทางกู้ผ่านอีกในอนาคต หากคุณรู้ปัจจัยที่ทำให้กู้ไม่ผ่านในครั้งก่อน และเตรียมตัวอย่างถูกต้อง โอกาสกู้ผ่านก็จะเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งการเตรียมตัวมี 2 ส่วนหลักๆ คือ การจัดการภาระหนี้ และ การจัดการเอกสารให้พร้อม

เคลียร์ภาระหนี้ ปรับ DTI ให้อยู่ในเกณฑ์

สิ่งแรกที่ควรทำคือ ตรวจสอบภาระหนี้ทั้งหมดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน, ผ่อนบัตรเครดิต, หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หรือแม้แต่ภาระหนี้จากการค้ำประกัน

ให้นำยอดผ่อนทั้งหมดมาคำนวณ DTI (Debt-to-Income Ratio) เพื่อดูว่าภาระหนี้กินสัดส่วนเกิน 40-50% ของรายได้หรือไม่ หากเกินควร

  • ปิดหนี้บางส่วน ที่มียอดผ่อนสูง เช่น บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล
  • หรือรีไฟแนนซ์หนี้บางก้อนเพื่อลดค่างวดรายเดือน
  • หากเป็นไปได้ ควรรออย่างน้อย 3–6 เดือน หลังจากเคลียร์หนี้ ก่อนยื่นกู้ใหม่ เพื่อให้ข้อมูลเครดิตบูโรมีเวลาปรับปรุง

เตรียมเอกสารให้ครบและน่าเชื่อถือ

ธนาคารจะตัดสินใจอนุมัติจากความสามารถชำระหนี้ที่พิสูจน์ได้ ดังนั้นจึงต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม

  • สลิปเงินเดือนล่าสุด อย่างน้อย 3 เดือน
  • หนังสือรับรองเงินเดือน
  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง (Statement) อย่างน้อย 6 เดือน
  • หากเป็นเจ้าของกิจการ/ฟรีแลนซ์ ควรมีสำเนาทะเบียนพาณิชย์, ใบเสร็จ ใบสั่งจ้าง, รายการรายรับรายจ่ายที่แสดงรายได้สม่ำเสมอ

เอกสารที่จัดเตรียมชัดเจน ยิ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และทำให้ธนาคารประเมินความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น

เลือกไฟแนนซ์ที่เหมาะกับคุณ

ไม่ใช่ทุกไฟแนนซ์หรือธนาคารจะมีเกณฑ์เดียวกัน บางแห่งเน้นพิจารณาจากเครดิตบูโร บางแห่งเปิดกว้างให้กับอาชีพอิสระ หรือมีโปรแกรมผ่อนเบาในปีแรก หรือมีเงื่อนไขพิเศษ เช่น ไม่ต้องใช้คนค้ำ

การเปรียบเทียบหลายเจ้า ช่วยให้คุณเลือกแหล่งสินเชื่อที่เหมาะกับสถานะทางการเงินของตัวเองที่สุด และไม่เสียโอกาสจากการยื่นผิดที่

 

หากคุณเตรียมตัวดีจนสามารถกู้ซื้อรถยนต์ผ่านเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องคุณและรถยนต์จากความเสี่ยงบนท้องถนน นั่นคือ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 จากทิพยประกันภัย เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเกิดจากตัวคุณเอง หรือผู้อื่น
เริ่มต้นกับรถคันใหม่อย่างมั่นใจ เลือกประกันภัยจากทิพยประกันภัย คู่คิดที่คุณไว้ใจได้เสมอ สอบถามรายละเอียดได้ที่ TIPINSURE.COM หรือโทร. 1736

#Tag: