กี่วันรู้ผลประเมินซ่อมรถ? สาเหตุที่ทำให้ซ่อมนานกว่าที่คิด
12 พฤศจิกายน 2025
ผู้ชม: 36 คน

กี่วันรู้ผลประเมินซ่อมรถ? สาเหตุที่ทำให้ซ่อมนานกว่าที่คิด

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเจอเหตุการณ์รถเกิดอุบัติเหตุ ส่งเคลมประกันเรียบร้อย เข้าศูนย์หรืออู่ซ่อม แล้วก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลารอคอยที่ยาวนานจนใจจะขาด! ทำไมยังประเมินค่าเสียหายไม่เสร็จ? อะไหล่ต้องรอนานแค่ไหน? ทำไมซ่อมทีนึงเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน?

แต่ความจริงแล้ว ขั้นตอนประเมินซ่อมรถไม่ใช่แค่การดูแผลแล้วสรุปตัวเลขทันที แต่มันมีรายละเอียดอีกหลายอย่างที่ต้องตรวจเช็กอย่างละเอียด ทั้งเรื่องอะไหล่ ความเสียหายที่ซ่อนอยู่ และขั้นตอนการประสานงานกับบริษัทประกัน ซึ่งหลายครั้งนี่เองคือเหตุผลที่ทำให้ระยะเวลายืดกว่าที่เราคาดคิด

ถ้าอยากรู้ว่าปกติใช้เวลาประเมินกี่วัน? อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ ซ่อมนานเกินกำหนด? และมีวิธีเช็กความคืบหน้าหรือเร่งอู่ซ่อมประกันให้เร็วขึ้นได้ไหม TIPINSURE รวบรวมคำตอบมาให้แล้ว

 

ระยะเวลาโดยทั่วไปในการประเมินค่าเสียหาย

เมื่อรถเข้ารับการประเมินซ่อมหลังเกิดอุบัติเหตุ ช่างและเจ้าหน้าที่ประกันจะต้องตรวจสอบทั้งภายนอกและภายใน เพื่อดูว่าความเสียหายมีมากน้อยแค่ไหน และต้องใช้อะไหล่อะไรบ้าง ซึ่งระยะเวลาจะต่างกันไปตาม ระดับความเสียหาย ของรถ ดังนี้

งานซ่อมเล็ก (ความเสียหายด้านนอก ไม่กระทบโครงสร้าง)

เช่น ชนสีถลอก ฝากระโปรงบุบเล็กน้อย กันชนแตกบางส่วน ไฟหน้าแตกแบบไม่ลึก กรณีนี้ การประเมินจะค่อนข้างเร็ว

  • ใช้เวลาประเมิน: ประมาณ 1–3 วันทำการ
  • หากอะไหล่มีพร้อมอยู่แล้ว + อู่/ศูนย์ไม่คิวแน่น ขั้นตอนจะไวมาก
  • งานซ่อมลักษณะนี้ส่วนใหญ่ ใช้เวลาในการซ่อมประมาณ 3–7 วัน (ขึ้นกับการพ่นสีและอบสี)

งานซ่อมใหญ่ (กระทบโครงสร้าง ระบบเครื่องยนต์ หรือระบบไฟฟ้า)

ถ้าอุบัติเหตุแรงจนมีผลกับระบบภายใน เช่น โครงตัวถังคด แชสซีเบี้ยว หม้อน้ำ ช่วงล่าง เซนเซอร์ระบบความปลอดภัย หรือรถรุ่นใหม่ที่มีระบบ ADAS

  • ใช้เวลาประเมิน: ประมาณ 3–7 วันทำการ หรืออาจนานกว่านั้น เพราะต้องแกะชิ้นส่วนเพื่อตรวจหาความเสียหายที่ซ่อนอยู่ ประสานบริษัทประกันเพื่ออนุมัติรายการอะไหล่ และตรวจสอบราคาอะไหล่ ระยะเวลาการสั่งของ
  • หากต้องสั่งอะไหล่จากต่างประเทศ อาจใช้เวลาประมาณ 2–6 สัปดาห์

 

ขั้นตอนการประเมินซ่อมรถ ทำอะไรบ้าง?

เมื่อรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ซ่อม สิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นแค่การดูความเสียหาย จริงๆ แล้วมีหลายขั้นตอนที่ต้องตรวจละเอียด เพื่อให้ประเมินค่าใช้จ่ายได้อย่างถูกต้อง และนำไปสู่การซ่อมที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน ซึ่งมีขั้นตอนหลักๆ

1.ตรวจสภาพภายนอก

ขั้นตอนแรกที่ช่างจะทำคือการ ตรวจเช็กสภาพรอบคัน เพื่อประเมินความเสียหายที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น สีถลอก กันชนแตกหรือบุบ ฝากระโปรงหรือประตูเบี้ยว ไฟหน้า–ไฟท้ายแตก รวมไปถึงรอยกระแทกที่ตัวถังหรือกระจกร้าว ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นนี้จะช่วยชี้ชัดว่ารถอยู่ในระดับ งานซ่อมเล็ก หรือ งานซ่อมใหญ่ และทำให้สามารถเริ่มทำรายการอะไหล่พื้นฐานที่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือซ่อมได้ทันที

2. ตรวจโครงสร้างและระบบภายใน

การตรวจเช็กส่วนที่อาจได้รับผลกระทบจากแรงกระแทกภายในตัวรถ ซึ่งเป็นส่วนที่มีผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพการขับขี่ เช่น โครงสร้างตัวถัง ช่วงล่าง เพลาขับ หม้อน้ำและระบบระบายความร้อน ระบบแอร์ รวมถึงระบบไฟและเซนเซอร์ที่สำคัญ โดยเฉพาะในรถรุ่นใหม่ที่มีระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติ (ADAS)

3. ประเมินค่าอะไหล่และค่าแรง

เมื่อทราบความเสียหายทั้งหมดแล้ว อู่หรือศูนย์บริการจะทำการตัดสินใจว่า ชิ้นส่วนไหนควรซ่อม และ ชิ้นส่วนไหนต้องเปลี่ยนใหม่ โดยจะตรวจสอบราคาตามฐานข้อมูลอะไหล่ เช่น อะไหล่แท้ อะไหล่เทียบ หรืออะไหล่มือสอง รวมถึงประเมินค่าแรงงานและค่าพ่นสี
ข้อมูลทั้งหมดนี้จะถูกจัดทำเป็น ใบรายการประเมินค่าเสียหาย (Estimate / เคลมชีท) เพื่อใช้ในการดำเนินการต่อกับบริษัทประกันภัย
หากอะไหล่มีพร้อมในสต็อก ขั้นตอนต่อๆ ไปก็จะเร็วขึ้น แต่ถ้าต้องสั่งอะไหล่พิเศษ หรือสั่งนำเข้า ระยะเวลาการซ่อมอาจยืดเพิ่มตั้งแต่หลายวันจนถึงหลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับแหล่งอะไหล่และรุ่นรถ

4. ส่งเรื่องอนุมัติบริษัทประกัน

หลังจากสรุปรายการซ่อมและค่าใช้จ่ายเรียบร้อยแล้ว อู่หรือศูนย์จะส่งเรื่องให้บริษัทประกันตรวจสอบและอนุมัติรายการอะไหล่ โดยเจ้าหน้าที่ประกันจะตรวจเทียบราคากับฐานข้อมูลของบริษัทเพื่อยืนยันว่าเป็นรายการที่จำเป็นจริง ก่อนออกเอกสารอนุมัติซ่อมอย่างเป็นทางการ

 

เหตุผลที่ทำให้ ซ่อมนานกว่าที่คาดไว้

แม้จะส่งรถเข้าซ่อมเรียบร้อยแล้ว แต่หลายครั้งระยะเวลาซ่อมกลับยาวนานกว่าที่เราคิดไว้มาก ซึ่งจริงๆ แล้วมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อความรวดเร็วของงานซ่อม

1. ต้องรอประเมินรอบ 2 เพราะเจอความเสียหายแฝง

ในบางกรณี เมื่อเริ่มรื้อชิ้นส่วนเข้าไปซ่อมจริง อาจพบความเสียหายเพิ่มเติม ที่ไม่สามารถเห็นได้ตอนประเมินครั้งแรก เช่น ชิ้นส่วนภายในคด งอ หรือระบบไฟฟ้าเสียหาย เป็นเหตุให้ต้อง ประเมินรอบที่สอง และส่งเรื่องขออนุมัติใหม่อีกครั้ง ซึ่งทำให้ระยะเวลาซ่อม ยืดออกไปมากกว่าที่คาดไว้ นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่หลายคนเจอว่า “ตอนแรกบอก 7 วัน สุดท้ายกลายเป็น 21 วัน”

2. อะไหล่ขาด หรืออะไหล่ต้องสั่งจากต่างประเทศ

หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้การซ่อมรถใช้เวลานานคือ สถานะของอะไหล่ หากอะไหล่ที่ต้องใช้ในการซ่อมมีพร้อมอยู่ในสต็อกของอู่หรือศูนย์บริการ การซ่อมจะสามารถเริ่มได้ทันทีและดำเนินการได้เร็ว แต่ในกรณีที่ต้องสั่งอะไหล่เพิ่ม โดยเฉพาะกับ รถรุ่นนำเข้า รถยุโรป หรือรถที่อะไหล่เฉพาะทาง อาจต้องใช้เวลารอ ตั้งแต่ 2–6 สัปดาห์ หรือยาวกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการขนส่งและจำนวนที่ผลิตในรอบนั้น ๆ

3. ศูนย์บริการหรืออู่มี คิวซ่อมสะสม

ปริมาณงานซ่อมในอู่หรือศูนย์บริการที่บางช่วงอาจมากกว่าปกติ โดยเฉพาะช่วงเทศกาล ช่วงหน้าฝน หรือหลังวันหยุดยาวที่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนเพิ่มจำนวนขึ้น ส่งผลให้มีรถรอซ่อมจำนวนมาก ถึงแม้รถของคุณจะเป็นงานซ่อมไม่หนัก แต่ถ้าคิวในระบบเยอะ เวลารอจะมากขึ้นโดยอัตโนมัติ ดังนั้นบางครั้งที่เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องรอนาน ไม่ได้หมายความว่าซ่อมยากเสมอไป แต่ กำลังรอคิวเพื่อเริ่มซ่อมหรือทำสี

4. เจ้าหน้าที่ประกันต้องยืนยันราคาอะไหล่

หลังจากสรุปรายการซ่อมและค่าใช้จ่ายแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการส่งเรื่องให้บริษัทประกันพิจารณาและอนุมัติ เมื่อถึงตรงนี้เจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบว่าราคาที่อู่เสนอ สอดคล้องกับมาตรฐานหรือไม่ รวมทั้งพิจารณาว่าชิ้นส่วนไหนควรซ่อมได้ หรือต้องเปลี่ยนใหม่จริง ซึ่งบางครั้งรายการอะไหล่ที่เสนออาจไม่ตรงกับหลักเกณฑ์ของประกัน จึงต้องมีการทบทวนหรือเจรจาปรับรายการเพิ่มเติม

5. รถรุ่นใหม่หรือรถนำเข้า ต้องตรวจละเอียดเพิ่ม

รถรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีแค่โครงสร้างตัวถังและเครื่องยนต์เป็นหลักเหมือนเมื่อก่อน แต่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์และเซนเซอร์ความปลอดภัยจำนวนมาก ซึ่งเมื่อมีการซ่อมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องระบบเหล่านี้จะต้องมีการ ตั้งค่าใหม่ และสอบเทียบ (Calibration) เพื่อให้กลับมาทำงานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ซึ่งต้องใช้เวลาในการปรับค่าหลายรอบ รวมถึงการทดสอบใช้งานจริงก่อนส่งมอบรถให้ลูกค้า

 

เคล็ดลับเร่งงานซ่อมให้เร็วขึ้น

แม้กระบวนการซ่อมรถจะมีหลายขั้นตอนและขึ้นอยู่กับหลายฝ่าย แต่คุณสามารถช่วยให้ทุกอย่างเดินหน้าได้เร็วขึ้น ด้วยวิธีง่าย ๆ

  • โทรเช็คสถานะเป็นระยะ (แต่ไม่ถี่จนเกินไป) ติดตามความคืบหน้าช่วยให้อู่หรือศูนย์บริการ เห็นความสำคัญของงานซ่อมคันนี้ และช่วยให้มีการอัปเดตความเคลื่อนไหว เช็กทุก 3–5 วัน หรือเช็คเมื่อได้รับแจ้งว่าอะไหล่ถึง
  • เลือกอู่/ศูนย์ที่มีอะไหล่พร้อมในระบบ ก่อนตัดสินใจซ่อม ลองสอบถามก่อนว่าอะไหล่รุ่นรถของคุณมีอยู่ในคลังหรือไม่
  • ส่งเอกสารเคลมให้ครบตั้งแต่แรก ยิ่งเอกสารครบเร็ว ยิ่งเข้าสู่ขั้นตอนประเมินและอนุมัติได้ไว
  • เลือกอู่ในเครือประกันจะทำงานไวกว่าอู่นอกเครือ อู่ในเครือมี ระบบเชื่อมต่อกับบริษัทประกันโดยตรง ทำให้ขั้นตอนอนุมัติอะไหล่และค่าแรงรวดเร็วกว่า

 

 

การซ่อมรถหลังอุบัติเหตุอาจใช้เวลานานกว่าที่คุณคิด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบความเสียหายแฝง การรออะไหล่ การรอคิวซ่อม หรือขั้นตอนอนุมัติจากบริษัทประกัน ซึ่งล้วนเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความละเอียดและความรอบคอบ เพื่อให้รถกลับมาพร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัยและสมบูรณ์ที่สุด

แต่สิ่งที่ช่วยลดความกังวล และทำให้ทุกขั้นตอนเป็นเรื่องเบาใจขึ้น คือ การเลือกประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครอง และมีระบบการซ่อมที่ได้มาตรฐาน อย่างประกันรถยนต์จากทิพยประกันภัย

ทิพยประกันภัยมี อู่และศูนย์บริการเครือข่ายทั่วประเทศ พร้อมระบบประสานงานเคลมและอนุมัติงานซ่อมที่รวดเร็ว ช่วยลดเวลารอคิวและขั้นตอนที่ซับซ้อน ทำให้เจ้าของรถได้รับความสะดวกและความมั่นใจมากขึ้น สอบถามรายละเอียดได้ที่ TIPINSURE.COM หรือโทร. 1736 

#Tag: