พระภูมีจอมกษัตริย์แห่งสากล
ท่ามกลางยุคสมัยของกระแสโลกาภิวัตน์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงวางพระองค์เป็นหลักที่พึ่งยึดเหนี่ยวของคนไทยทั้งแผ่นดิน พระองค์พระราชทานกำลังใจ พร้อมกับรับสั่งถึง “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ดังพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่พสกนิกรอยู่เสมอว่า
“...ประการสำคัญที่สุด ก็คือต้องเข้าใจพื้นฐานของความพอเพียง คือ ภาวการณ์อยู่ได้ กินได้ และไม่โลภ ถ้าเกิดความโลภขึ้นมาเมื่อไร พี้นฐานของความพอเพียงก็จะหายไป”
ปี พ.ศ.๒๕๔๙ รัฐบาลกำหนดให้เป็นปีมหามงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปีโดยระหว่างวันที่ ๘-๑๓ มิถุนายน ได้จัดพระราชพิธีครั้งประวัติศาสตร์ขึ้น ตามที่ได้รับพระราชทานชื่อว่า “พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี” ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก
ก่อนหน้านั้นในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๙ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติทูลเกล้าฯถวายรางวัล “ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์” ของสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เพื่อเฉลิมพระเกียรติในพระปรีชาสามารถและพระราชกรณียกิจในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพสกนิกรไทยตลอดระยะเวลา ๖๐ ปีแห่งการครองราชย์ ซึ่งรางวัลเกียรติยศนี้องค์การสหประชาชาติริเริ่มขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติในวโรกาสอันสำคัญนี้ ทรงได้รับการถวายรางวัลเกียรติคุณพิเศษนี้เป็นพระองค์แรก
ดังที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ในฐานะผู้แทนพระประมุขและพระราชอาคันตุกะทุกพระองค์ในงานถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ำ ณ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๙ ได้มีพระราชดำรัสถวายพระพร ความตอนหนึ่งว่า
“หกสิบปีที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติ มิได้เป็นเพียงหกสิบปีในประวัติศาสตร์ของชาติไทย แต่เป็นหกสิบปีที่เป็นประวัติศาสตร์ของเราทุกคน เป็นประวัติศาสตร์ที่ได้ประสบทั้งสิ่งดีและสิ่งร้าย...
หม่อมฉันตลอดจนองค์พระประมุขและพระราชอาคันตุกะทุกพระองค์...ขอถวายพระราชสมัญญาที่เรียบง่ายแต่มีค่า และสะท้อนถึงความรู้สึกของหม่อมฉันและทุกพระองค์ ณ ที่นี้ คือฝ่าพระบาททรงเป็น “มิตรที่รักและพึงเคารพอย่างที่สุดของพวกเรา” ฝ่าพระบาททรงเป็นพลังบันดาลใจให้แก่พวกเราเหล่าพระประมุขด้วยกัน...”
และวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษครบ ๘๐ พรรษา ก็เป็นอีกวาระที่พสกนิกรไทยทั้งประเทศได้สัมผัสกับความสุขใจอีกครั้ง
ข้อมูล : เรียบเรียงจากสมุดตราไปรษณียากรพิเศษ “ดั่งดวงแก้วแห่งแผ่นดิน”